วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดำ เอสโซ่



ดำ เอ๊สโซ่

   ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งขยับท่าจะจี้ตามเข้าขยี้ปรปักษ์ ต้องชะงักเท้าหยุดกึก ก็มีดในมือพระเดชพระคุณ ไม่ใช่อีดาบพลาสติกของเด็กเล่นนี่ขอรับ "เหล็กทั้งแท่ง" เจ้าถิ่นหลังวัดมะกอกซึ่งมีเลือดกบปากแดงเถือก จ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาวาวจ้าบอกความโกรธแค้นสุดขีด เคี้ยวกรามกร้ามสนั่นแล้วโผนเข้าแทงหมายเสียบให้จมมีด  ขาไฮโลที่กระจายออกไปยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ครางฮือฮาแทบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ก็เท่านั้น นักสู้จากฝั่งธนฯ ซึ่งโชกโชนด้วยประสบการณ์และความเจนจัด เพียงแค่พลิ้วฉากหลบออกทางขวา ปลายแหลมเฉียบจของมีดสั้นก็กรีดอากาศว่างเปล่าผ่านหน้าท้องไปในระยะห่าง ร่วมสองคืบ ซึ่งแน่ละ เมื่อแทงพลาดเป้าเจ้าจองมีดก็ต้องคะมำถลาตามอย่างช่วยไม่ได้ และก็คะมำเข้ารับแข้งซ้ายที่จอมกรี๊ดดีดสวนช้อนขึ้นเต็มแรง พลั่ก......

   "
อั่กก์........" แข้งแข็งๆ กระหน่ำยอดอกดังหนักแน่นดีพิลึก แรงบวกทำเอาวัยรุ่นเจ้าถิ่นซึ่งหลุดเสียงสำลักสั้นๆ ออกมาแค่ครึ่งคำ ถึงกับกระเด้งกระดอนถอยกลับ ลากก้าวเซสะเปะสะปะเหมือนลิงเมากะแช่ จอมดีเดือดแห่งวงเวียนเล็กขยับจะฉกมือขวาเข้าหามีดคู่กายที่พกพาซุกซ่อนติด ตัว มันเป็นจังหวะเดียวกับที่นักบู๊ตรอกสาเกแผดตะโกนลั่น

   "
ปุ๊ ไม้" เขาชะงัก และแฉลบหางตามองเครื่องทุ่นแรงที่เพื่อนโยนลอยโด่งเข้ามามือขวาจึงเปลี่ยน เป็นฉวัดขึ้นรับอย่างคล่องแคล่ว ปรากฎว่ามันเป็นระแนงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณนิ้วครึ่งยาวหวิดสองศอก ไม่ใช่ไม้ใหญ่โตอะไรนัก แต่หากใช้ให้เป็น มันก็สามารถสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดได้ไม่น้อย ที่แน่ๆก็คือมันได้เปรียบตรงความยาว พอได้อาวุธ ปุ๊ กรุงเกษม ก็กระชับไม้ในลักษณะเฉียงปลายขวางขึ้นเหนือไหล่ซ้าย และเป็นฝ่ายย่างรุกเข้าหาอย่างกระเหี้ยนกระหือ และแทนที่จะถอยหรือหลบเลี่ยงเมื่อฝ่ายตรงข้ามโถมแทง เขากลับตีตวัดในรูปแบ๊คแฮนด์ฟาดสกัดตรงๆชนิดแลกกันให้รู้ดีรู้ชั่ว

  
โผะ..... ไม้เนื้อแข็งท่อนเล็กหวดเข้าตรงขมับขวาเต็มเงี่ยงเต็มงา เลือดข้นคลั่กทะลักพรวด เพราะเหลี่ยมไม้เปิดแผลแบะอ้ายาวไม่ต่ำกว่าห้าเข็มเย็บ อ๊อด สวนเงิน ซึ่งเหยียดปลายมีดอยู่ห่างแผงอกคู่ต่อสู้ร่วมศอกถึงกับหัวทิ่มเอียงไปทาง ซ้ายอย่างไม่เป็นองค์ กระนั้น มือขวาก็ยังไม่ปล่อยอาวุธ แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อเจ้าตัวอยู่ในสภาพมึนเคแทบไม่รู้ทิศ ไม่มีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวหรือแม้แต่หลบเลี่ยงด้วยซ้ำ ไม้ระแนงที่นักสู้ต่างถิ่นตีตวัดกลับ เหวี่ยงช้อนจากล่างขึ้นบนจึงไม่พลาดเป้า

  
โผะ........ มันจวกเข้าตรงโหนกแก้มซ้ายเต็มรัก เลือดกระฉูดอีกเช่นเคย ไม้ดุ้นเล็กถึงกลับหักสะบั้นเป็นสองท่อนขณะที่คนถูกตีหมุนคว้างไปหวิดสองรอบ แล้วคว่ำ ลงตะครุบกบแอ่นอกตบพื้นอีกป้าบบะเร่อ แต่เจ้าถิ่นวัดมะกอกก็ทนทรหดเหลือกำลังลาก เจอเข้าไปหนักๆ ขนาดนั้น พี่แกยังอุตส่าห์ยักแย่ยักยันพยุงตัวขึ้นคลานสี่ขาส่ายหัวง่อกแง่กโดยที่มือ ขวายังกำด้ามมีดไว้มั่นคง ไอ้รุ่นแสบจากฝั่งธนฯ เหวี่ยงไม้ทิ้ง โจนผึงเข้าไปเงื้อตืนขวากระทืบโครมลงบนหลังมือข้างนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย

   "
อ๊ากก์........" อ๊อด สวนเงิน แยกเขี้ยวเบี้ยวปากร้องลั่นมือที่กำมีเหยียดนิ้งทั้งห้ากางพรึ่บ ก่อนที่ตีนหุ้มเกือกข้างเดิมจะดีดช้อนเข้าใต้คางเต็มเหนี่ยว

  
กร๊วบ...... ร่างที่อยู่ในท่าคลานสี่ขา กระตุกสะท้านขึ้นทั้งตัวและพลิกหงายตึง แน่นิ่งสนิทไปทันใด

  
ผลงานชิ้นแรกของปุ๊ กรุงเกษม ที่ถล่มหนุ่มซ่าประจำซอยสวนเงินซะอ่วมอรทัยคาถิ่นหลังวัดมะกอก ทำให้ดาวดังตรอกสาเกชื่นชอบและเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่าตัวเองเลือกบัดดี้ไม่ผิด หลังจากนั้น เขาก็พาคู่ซี้คนใหม่ออกเดินสายอาละวาดฟาดงวงฟาดงาเป็นว่าเล่น ปุ๊ ระเบิดขวด เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น และคอยหมกมุ่นอาฆาตมาดร้ายอยู่ร่ำไป ใครทำให้ขุ่นเคืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เจตนาหรือไม่ก็ตาม พ่อจดเข้าบัญชีไว้หมด คู่กรณีที่ "ค้างชำระ" รอปฏิบัติการจองเวรจึงมีมากมายทุกหัวระแหง ซึ่งขาใหญ่บางลำภูก็จะควงคู่ตัวแสบแห่งย่านฝั่งธนฯ พาสมัครพรรคพวกตระเวรเก็บต้นทบดอกไปตามตรอกซอย อันเป็นถิ่นฐานของฝ่ายตรงข้ามแทบไม่เว้นแต่ละวัน และโดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะลงมือเอง ส่วนใหญ่จะสะกิดบั๊ดดี้ออกหน้าเสมอ เว้นไว้เสียแต่ว่าบังเอิญโคจรไปเจอกลุ่มของแดง ไบร์เลย์ ซึ่งนักสู้จากวงเวียนเล็กจะไม่แตะต้อง เพราะจะอย่างไร เขาก็ยังยึดมั่นว่าแดงคือเพื่อน นั่นแหละ ปุ๊ ระเบิดขวด ถึงจะออกโรงแสดงบทบาทก่อกวนระรานและข่มเหงรังแกบริวารของคู่แค้น สองหนุ่มอันตรายเดินเคียงไหล่สร้างความปั่นป่วนในยุทธจักรวัยรุ่นชั่วระยะ หนึ่ง โหล แม้นศรี เพื่อนร่วมแก๊งระดับขุนรบ ก็พาสมาชิกใหม่มาแนะนำตัวเพื่อที่จะให้เดินลุยด้วยกัน คนๆนั้น เป็นหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างสูงเพรียวลักษณะท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียวฉับไว ชื่อ ดำ แม้นศรี นักบู๊ตรอกสาเก ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจของดำมาก่อนหน้านี้พอสมควรเขาจึงไม่ลังเลที่จะ อ้าแขนรับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการทดสอบพิสูจน์คุณภาพให้ประจักษ์แจ้งแก่ตา ซึ่งวันเวลาทดสอบก็มาถึงไม่ช้านัก

  
ช่วงปีพุทธศักราช 2504 ย่านราชประสงค์ทั้งทางด้านถนนเพลินจิตและราชดำริยังไม่สะพรั่งไปด้วยตึกราม ทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าสูงลิ่วระฟ้าเหมือนปัจจุบัน อาคารร้านค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงตึกแถวธรรมดาๆ สูงแค่สองสามชั้น แบ่งซอยเป็นบล๊อคๆและมีตรอกเล็กซอยน้อยเชื่อมทะลุถึงกันตลอด แต่ราชประสงค์ก็เรียกได้ว่าเป็นย่านของความเจริญฟูเฟื่องเต็มที่และมีระดับ พรั่งพร้อมไปด้วยห้างร้านขายของสารพัดสารพันซึ่งล้วนแต่ชั้นดีราคาแพงไว้ ต้อนรับลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ และที่ขาดไม่ได้ ต้องมีควบคู่กันไปก็คือสถานบันเทิงหลากหลายรูปแบบ โรงโบว์ลิ่งซึ่งเปิดเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวที่ถนนเกษรในย่านราชประสงค์ ก็เป็นแหล่งบันเทิงที่ขึ้นหน้าขึ้นตามไม่น้อย สมัยนั้น โบว์ลิ่งเป็นกีฬาในร่มที่ยังใหม่เอี่ยมสำหรับเมืองไทย นิยมกันในหมู่ผู้ลากมากดีและพวกหัวสมัยใหม่ไฮโซ รวมทั้งคนที่พยายามทำตัวให้ทันสมัย ซึ่งกลุ่มหลัง ก็มีบรรดาวัยรุ่นที่กำลังเติบโตใกล้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรวมอยู่ด้วย ถ้าใครต้องการเท่ห์เก๋ไก๋ ดูดีมีระดับ ก็มักจะไปเดินเตร็ดเตร่เต๊ะจุ๊ย ฉุยฉายชมสินค้าร้านรวงแถวราชประสงค์ แวะนั่งวางมาดสั่งอาหารฝรั่งในร้านลิตเติ้ลโฮม เบเกอรี่ หรือไม่ก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งทั้งๆที่เล่นไม่เป็น แค่ไปดูเขาเล่นก็โก้แล้วว่ะ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างซ้ายขวา ดำ แม้นศรี กับ ปุ๊ กรุงเกษม ก็เช่นกัน หลังจากเดินทอดหุ่ยดูร้านรวงและสาวๆ ในย่านราชประสงค์ตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบสองทุ่ม ทั้งสามหนุ่มก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งตามฟอร์ม ภายในซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเย็นสบายผิวดำลังคึกคักด้วยเหล่านักโยนลูก เซลลูลอยด์ ซึ่งยึดครองทุกเลนเต็มไปหมด เสียงตะโกนยั่วเย้า เสียงสรวลเสเฮฮา เสียงปรบมือให้คนทำสไตร๊ค์ เสียงลูกโบว์ลิ่งวิ่งตอกพินระเบิดกระจาย และเสียงโยนลูกวิ่งตึงตังเป่ลงรางเพราะมือยังอ่อนหัด ดังคละเคล้าประสานกันแซ่แซ่วกึงกังโครมครามอยู่ไม่ขาดระยะ สามตัวแสบเลือกนั่งโต๊ะว่างที่จัดวางๆไว้เป็นสัดส่วนต่างหากทางด้านหัวเลน สั่งเบียร์และน้ำส้มคั้นสำหรับนักบู๊ตรอกสาเก ซึ่งไม่ค่อยจะพิสมัยรสชาติของแอลกอฮอล์ล พอของที่ต้องการมาถึง จอมกรี๊ดแห่งวงเวียนเล็กเพิ่งรินเบียร์จิบได้อึกเดียว เจ้าถิ่นบางลำภูก็สะกิดผู้ติดตามคนใหม่พลางบอกเสียงเคร่ง

   "
เอ็งมีงานแล้ว ไอ้ดำ" หนุ่มเปรี้ยวะเจ้าของฉายา ดำ แม้นศรี ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ชะงักมือที่ดำขวดตั้งท่าจะรินลงแก้ว เหลือบมองนักบู๊ตรอกสาเกพลางกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น

   "
งานอะไร"

   "
กระทืบคน"

   "
ไหนล่ะ?"

   "
รินเบียร์ให้เรียบร้อยซะก่อน" ดำปฏิบัติตามคำบอก และวางขวดลงพร้อมกับเสียงถามของหัวโจก

   "
เห็นไอ้คนใส่เสื้อสีน้ำเงินลายจุดขาวที่เล่นอยู่เลนห้ามั้ย?" เขาเหลือบมองแว่บเดียวแล้วผงกศรีษะ

   "
เห็น หมอนั่นไม่ได้ลงเล่นนี่ นั่งดูเพื่ออีกสองคนมากกว่า"

   "
นั่นแหละ ปกติมันเดินอยู่ในกลุ่มพวกไอ้แดง"

   "
เรอะ งั้นก็ศัตรูของเรา"

   "
ใช่ เอ็งจัดการได้เลย"

   "
เพื่อนมันสองคนล่ะ?"

   "
ไม่เกี่ยว" หนุ่มเปรียวยกแก้วขึ้นกรอกเมรัยลงคอเต็มอึก แล้วแค่นเสียงเกรียม

   "
ถ้าไอ้คู่นั้นจะเกี่ยวด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร"

   "
เอ็งฉายเดี่ยวนะ"

   "
เออน่ะ เรื่องเล็ก" จบคำ เขาวางแก้วลงขณะเดียวกับที่เป้าหมายลุกจากโต๊ะหัวเลนที่  5 จ้ำดิ้งไปยังห้องสุขาสำหรับบุรุษเพศ ดำ แม้นศรี จิบเบียร์อีกอึกแล้วลุกขึ้น ก้าวตัดข้ามโถงกว้างโล่งตามไปอย่างไม่โอ้เอ้ ไอ้นี่ใจเร็วชะมัด ปุ๊ ระเบิดขวด พึมพำด้วยน้ำเสียงชื่นชอบ สบตามคู่หูชื่อเดียวกันพลางพยักหน้าช้าๆ ก่อนเรียกบริกรมาเก็บเงิน เพราะหากต้องเผ่นหนีกะทันหัน จะได้ไม่มีบ๋อยหรือคนของที่นี่คอยสกัดขัดขวางหรือไล่ตามให้ยุ่งยากมากเรื่อง

  
หนุ่มรุ่นใส่เสื้อเชิ้ตคอตั้งสีน้ำเงินลายจุดขาว เพิ่งเสร็จธุระรูดซิฟกางเกงหมุนตัวผละจากโถปัสสาวะที่เรียงรายกันเป็นแผงใน ห้องน้ำชายกว้างขวางสะอาดสะอ้านซึ่งบังเอิญปลอดคน เสียงสรวลเสเฮฮาและเสียงตึงตังโครมครามเบื้องนอกยังได้ยินแว่วๆ ไม่ขาดระยะตามธรรมดาของโรงโบว์ลิ่ง เขาสืบเท้าไปล้างมือในอ่างเคลือบหน้ากระจกเงา แฉลบหางตามองคนที่ก้าวตามเข้ามาใหม่อย่างไม่ใส่ใจ แน่ละคนๆนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี ซึ่งแทนที่จะเลี้ยวไปหาโถปัสสาวะหรือโถส้วมตามปกติของคนเข้าห้องน้ำ เขากลับตรงรี่มาหาหนุ่มสำอางที่ยืนเอียงซ้ายขวา สำรวจทรงผมสไตล์เอลวิสอยู่หน้ากระจกบานใหญ่พอถึงตัวก็ยกมือผลักไหล่โดยไม่ พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา

    "
อ๊ะ......." หนุ่มเสื้อลายหลุดอุทานตื่นๆ เซถลาไปตามแรงผลักสองสามก้าว ก่อนจะหันขวับมากระชากเสียงเดือดดาลระคนงุนงง

    "
นี่มันอะไรกันวะ?" ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ไม่โต้ตอบหรือแม้แต่ปริปากเอ่ยคำใดออกมา เขาสะอึกเข้าประชิดจ้วงด้วยอีขวาเต็มเหนี่ยว

    "
ฉาด........." กำปั้นแข็งกระด้างตะบันซอกกรามซ้าย ดังแสบสะท้านอยู่ในบริเวณห้องอับทึบ วัยรุ่นเสื้อลายซึ่งไม่ทันได้ระมัดระวังตั้งรับการจู่โจมถึงกับหน้าสะบัด ิเริ่ด เซแซ่ดๆไปกระแทกหลังไหล่กับผนังคอรกรีตอีกพลั่กสนั่น หมอเด้งตัวออกมาป่ายตีนถีบสกัดเปะปะตามมีตามเกิดเมื่อปรปักษ์ถลันเข้าซ้ำ แต่มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดำ แม้นศรี แค่ปัดนิดเดียว อาวุธยาวของฝ่ายตรงข้ามก็เบนวืดออกข้าง พริบตาติดต่อกัน แขนซ้ายของเขาก็พับศอกขวิดสวนสุดแรงเรียม

    
โฉะ..........

23.
เสียงดังราวกับทุบไม้ผุด้วยสันขวาน เมื่อศอกดุ้นนั้นจวกเข้าบริเวณปากครึ่งจมูกครึ่งรุนแรงเหลือรับ คนเจอศอกร้องอู้ฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ ผงะถอยสะบัดท้ายทอยโขกผนังอีกตึงบะเร่อ ทั้งปากและจมูก แดงเถือกไปด้วยเลือดข้นคลั่กที่ทะลักทะลายไหลเปรอะ ดำ แม้นศรี ฉากถอยหลังเล็กน้อยหมายถล่มด้วยแข้งให้จอดคาคอก แต่ก็ต้องชะงัก ขนทั่วร่างลุกเกรียว เพิ่งเห็นถนัดชัดตาเอาตอนนี้เอง ว่าคู่ต่อสู้กระตุกมีดสั้นจากที่ซ่อนออกมากำอยู่ในมือขวาตั้งแต่เมื่อไหล่ ไม่รู้ นั่นหมายถึงว่าถ้าเขาถอยช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาทีไม่แผ่นอกก็หน้าท้อง ต้องกลายเป็นฝักมีดแน่นอน ทว่า พอเด้งห่างออกมาเกินเอื้อม เหล็กแหลมเล่มนั้นก็ไร้ความหมายเนื่องจากมันกำด้วยมือที่สั่นระริก เจ้าของมีดก็ยืนเซซังสะลึมสะลือตาลอยคว้างด้วยพิษหมัดบวกศอกที่เจอเข้าเต็มๆ ทั้งสองขนาน และเสือกมีดแทงแกว่งเปะปะอย่างหมดสภาพที่จะต่อสู้ เมื่อเขาสืบเท้าโฉบเข้าหา เสือดาวเปรียวจากสวนมะลิเพียงแต่เบี่ยงตัวนิดเดียวก็หลบพ้น และสะบัดแขนฟาดข้อมือที่กำอาวุธทันควัน ผัวะ........

    "
โอย......" ฝ่ายตรงข้ามหลุดเสียงครางแหบแห้ง มีดหลุดจากมือร่วงผล็อย ก่อนถูกรวบคอกระชากคะมำลงรับเข่า ที่กระทุ้งเสยสวนขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสียงเข่าทั้งซ้ายขวากระแทกเป้ารุนแรงหนักหน่วง ดังบึกบักผัวะผะซ้ำซ้อนกันไม่กี่ที วัยรุ่นเสื้อลายก็รูดลงไปนอนหงายครึ่งตะแคงแน่นิ่งโดยมีเลือดเปรอะเต็มหน้า กระนั้นก็ยังไม่สะใจไอ้หนุ่มอันตรายซึ่งกำลังบ้าดีเดือด เขาใช้มือซ้ายค้ำคอคู่ต่อสู้ มือขวาฉวยมีดที่หล่นเค้เก้อยู่กับพื้นเงือดเงื้อขึ้นสุดล้า เพียงชั่วพริบตาก่อนจะทันได้ปักมีดลง มือแข็งแรงก็ตะปบแขนขวากำไว้มั่น ดำ แม้นศรี หันขวับไปแหงะหน้ามองอย่างตื่นตระหนกแล้วถอนใจพรวด เมื่อได้พบว่าเจ้าของมือ คือ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างด้วยคู่ซี้ ปุ๊ กรุงเกษม

    "
พอที........" ขาใหญ่บางลำภูทิ้งเสียงหนัก "เกือบไปแล้วไหมล่ะ นี่ถ้าข้าไม่ตามเข้ามา เอ็งก็ฆ่าคนตายซีวะ" หนุ่มแสบจากสวนมะลิคลายมือทิ้งมีดแล้วว่าเสียงอ่อย

    "
มันโมโหจนลืมตัว ก็ไอ้เวรนี่เสือกชักมีดออกมาจะแทงข้าก่อน"

    "
รู้จักยับยั้งชั่งใจมั่งซี....." หัวโจกเอ่ยเตือนสติและปล่อยแขนคนเลือดร้อนเป็นอิสระ "เรื่องแค่นี้มันไม่ถึงกับต้องฆ่า เอาละ รีบไปกันเถอะ"

    "
เดี๋ยว ปล่อยมันนอนอยู่หยั่งงี้คงไม่เหมาะนัก" เอ่ยจบ ดำ แม้นศรี จัดแจงลากร่างอ่อนปวกเปียกเข้าไปนั่งซุกคอพับข้างโถชักโครกในห้องส้วม ดึงประตูปิดโดยไม่ลืมล็อคลูกบิดไว้อีกชั้นหนึ่งก่อนเก็บมีดโยนลงถังขยะ และแล้ว สามหนุ่มอันตรายก็เอ้อระเหยลอยชายออกจากโรงโบว์ลิ่งอย่างสะดวกโยธิน

    
ในกระบวนเด็กหนุ่มกวนเมืองระดับแถวหน้า ปุ๊ ระเบิดขวด นับได้ว่าเป็นตัวร้ายกาจสุดยอด เขามีทั้งความกลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบายประสบการณ์โชกโชนเจนจัดไม่ว่าจะใน ด้านใช้กำลังความรุนแรง หรือแง่มุมที่จะพลิกพลิ้วหลีกเลี่ยงตัวบทกฎหมาย วาทศิลป์ลิ้นลมอันคมคายสามารถโน้มน้าวใครต่อใครให้คล้อยตามได้ไม่ยาก ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ดำ แม้นศรี จึงให้ความยกย่องนับถือ และเชื่อฟังในแทบจะทุกกรณี เขาพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ ตามแต่ปุ๊จะบัญชาไม่ว่าจะให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ขณะเดียวกัน พฤติกรรมห่ามเหี้ยมของหนุ่มห้างจากสวนมะลิ ซึ่งแสดงให้เห็นในสถานโบว์ลิ่งถนนเกษรก็เป็นที่สบอารมณ์ขาใหญ่บางลำภูยิ่ง นัก เพราะดำไม่เพียงแต่จะดุดันเฉียบขาดปราดเปรียวฉับไวใส่เต็มเกียร์ชนิดถึงลูก ถึงคน เขายังตัดสินใจรวดเร็ว กล้าที่จะลงมือทำร้ายใครก็ได้โดยไม่รีรอลังเล และไม่เลือกว่าสูเจ้าจะเป็นเทวดาองค์ใด ขอให้ลูกพี่สั่งมาเถอะ ซึ่งนี่แหละ แบบฉบับของตัวชนที่นักบู๊ตรอกสาเกต้องการไว้เป็นหัวหอกลุยศึก แต่แม้จะ "ทดสอบ" คุณภาพเป็นที่พอใจระดับหนึ่งแล้ว จิ้งจอกอันตรายอย่างปุ๊ ระเบิดขวดก็ยังไม่วายลองของ เมื่อพาสองหนุ่มแสบคู่ใจตระเวนหาเรื่องรายวัน ขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารด้านหลังตลาดประตูน้ำในตอนหัวค่ำวันต่อมา ที่นั่น เป็นโรงบิลเลียดหรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่าสนุ้กเกอร์ คลับ ช่วงเวลานั้น โต๊ะมาตรฐานขนาดสิบสองฟุตปูสักหลาดสีเขียวสดใสทั้งห้าตัว ซึ่งตั้งรายเรียงกันเข้าไปตามความลึกของห้อง ไม่มีว่างเลย ทุกโต๊ะแวดล้อมด้วยนักเลงสนุ้กเกอร์ ที่ตั้งหน้าตั้งตาบรรเลงเพลงคิวเชือดเฉือนกันสุดฤทธิ์สุดเดช แถมยังมีพวกที่นั่งรอชูคอสลอนอยู่บนม้ายาว ชิดผนังด้านข้างอีกต่างหาก ท่ามกลางเสียงตะโกนพูดคุยเย้าหยอกกันเสียงตบมือตีตีนหัวเราะชอบใจ เสียงสบถด่าหยาบคายเมื่อตบพลาดหลุม และเสียงกระแทกหัวคิววิ่งตอกลูกสีก๊อกแก๊กเกรียวกราว ที่ดังคละเคล้าปนเปกันอยู่ตลอดเวลา สามจอมป่วนกวาดตามองไปรอบๆแว่บหนึ่ง แล้วจ่อมก้นลงนั่งล้อมโต๊ะตัวย่อมหน้าคอกขายของซึ่งมีทั้งน้ำอัดลม เหล้า เบียร์และบุหรี่พร้อมสรรพ คนขายก็คือหนุ่มใหญ่เชื้อจีนร่างเล็กผอมกระหร่อง ผู้ดูแลโต๊ะสนุ้กฯ นั่นเอง พี่แกรับเหมาทั้งหน้าที่แคชเชียร์เก็บเงินค่าเกม เจ้าของร้านเครื่องดื่มและคนขายคนเสิร์ฟทุกตำแหน่ง เผลอๆ ยังแบ่งภาคไปเป็นมาร์คเก้อร์ตั้งลูกสนุ้กฯ หากอยู่ในช่วงจังหวะว่าง เรียกว่าหยิบฉวยมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เขาใหญ่บางลำภูร้องสั่งน้ำส้มสามขวด ซึ่งก็ถูกยกมาตั้งให้โดยไม่ชักช้า จากนั้นก็เอ่ยถามก่อนที่คนเสิร์ฟจะผละไป "เฮีย วันนี้ไอ้หลอมารึเปล่า?" ชายร่างเล็กพยักหน้าหงึกและวาดมือชี้

    "
มา เล่นอยู่โต๊ะในสุดนู่นไง" นักบู๊ตรอกสาเกชะเง้อมองตาม

    "
คนไหน?"

    "
ก็ไอ้ที่หวีผมเป่ ฟันหน้าแถวบนหายไปซี่นึง สังเกตไม่ยากหรอก ลักษณะนี้ทั้งโต๊ะมีมันอยู่คนเดียวนายถามทำไมล่ะ?"

    "
พรรคพวกเขาบอกว่ามือมันเหนือชั้น"

    "
อ๋อ.....น้องๆเซียนเลยนะ ที่เห็นเล่นกันอยู่นั่นขนาดไอ้หลอต้องต่อแต้มให้คนละตั้งสิบห้าแดงก็ยังรับทรัพย์แทบทุกเกม"

    "
งั้นเรอะ"

    "
ไม่แน่จริงอย่าเผลอไปเล่นกะมันเชียวนาขอเตือนด้วยความหวังดี"

    "
ขอบคุณ รับรองไม่เผลอแน่เฮีย อย่างพวกผมถ้าจะเล่นต้องจงใจ คำท้าย ปุ๊ ระเบิดขวด เน้นเสียงเย็นลึก ตาดุกระด้างวาบประกายวาว และพอชายร่างกะหร่องก้าวผละเข้าหลังคอกขายเครื่องดื่ม ปุ๊ กรุงเกษม ก็เอ่ยขึ้นด้วยการใช้สรรพนามที่บอกถึงความสนิทชิดเชื้อ

    "
ข้าเชื่อว่าเอ็งคงไม่หมายถึงเล่นสนุ้ฯ" หนุ่มชื่อเดียวกันแค่นยิ้ม "เอ็งเข้าใจถูกต้อง ข้าหมายถึงเล่นคน"

    "
แน่นอน สามสี่วันก่อนมันปลอมตัวเป็นหมูเดินสายไปที่โต๊ะบำเพ็ญบุญ หลอกแดกไอ้เหลิมซะหมดตูดไม่เหลือกระทั่งค่ารถ"

    
ไอ้เหลิมไหน?"

    "
ไอ้เหลิม พรานนก" ดำ แม้นศรี เงบขวับขึ้นจากหลอดดูดที่เสียบปากขวดน้ำส้ม ตวัดเสียงสอดเบาๆ "พวกเรานี่หว่า" ขาใหญ่บางลำภูพยักหน้า "ใช่ ข้าได้ยินว่าไอ้เหลิมมักจะสิงสู่ประจำอยู่ที่นี่ เลยเตร่มาดูเผื่อจะเจอตัว ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง

    "
ตะกี้ เฮียเขาบอกว่ามันเล่นอยู่โต๊ะในสุด" นักบู๊ตรอกสาเก หรี่ตาเจ้าเล่ห์ตามสไตล์จิ้งจอกอันตรายขนานแท้พลางลากเสียง

    "
กะลังเคี้ยวหมูเพลินซะด้วย เอ็งช่วยออกแรงหน่อยนะ ข้ากะปุ๊เจิดจะคอยคุมเชิงระวังหลัง" หนุ่มเปรียวจากสวนมะลิยันตัวลุกพรวดทิ้งเสียงมาดมั่นไม่มีอาการลังเลแม้แต่ น้อยนิด

    "
ได้ ข้าจัดการเอง"

    
เด็กหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบรูปร่างสูงแกร่งท่าทางหลุกหลิกไว้ผมเป๋ปาดด้วย ตันโจ ติ๊คหวีเรีบบแปล้กระชับคิวสิบหกออนซ์สีนวลจำปาด้วยมาดทะมัดทะแมง ยืนเอียงคออยู่ตรงท้ายโต๊ะปูสักหลาดสีเขียว จับตามองลูกเซลลูลอยด์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองนิ้วที่เหลือเพียง น้ำเงิน ชมพู ดำ และขาวซึ่งกำลังวิ่งเอื่อยๆ ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง และพอขาวหยุดนิ่งตรงตำแหน่งที่สามารถตบน้ำเงินลงหลุมกลางแล้วฟอลโล่ว์ไปกิน ชมพูหลุมมุม และต่อด้วยดำลูกสุดท้ายได้สบายมือ หมอก็แยกเขี้ยวยิ้มร่า เผยให้เห็นฟันหน้าด้านบนที่แหว่งหายไปหนึ่งซี่

    "
หมดโต๊ะ......" คนฟันหลอร้องเสียงใสรื่นเหมือนจะเย้ยหยันแกมข่มขวัญคู่ต่อสู้อีกสองนายที่ ยืนกระพริบตาปริบๆ หมดอาลัยตายอยากอยู่ใกล้ๆกัน จากนั้นก็สาวเท้าเลาะข้างโต๊ะไปโน้มตัววางมือ จรดคิวจ่อขาวสาวเล็งอย่างบรรจง เพราะหากตบลูกนี้ลงหลุม แต้มของฝ่ายตรงข้ามทั้งสองหน่อจะขาดลอยทันที และนั่นหมายถึงชัยชนะซึ่งมีเงินพนันเป็นบำเหน็จ ทว่า ยังไม่ทันได้เสือกคิวกระทุ้งออกไป ลูกสีชมพูก็วิ่งจี๋มาตอกขาวเต็มรัก ก๊อก........ เซียนหลอสะดุ้งเฮือก พร้อมกับที่ลูกขาวและชมพูกระเด้งไปคนละทิศ เขาวางคิว เด้งตัวเงยขวับขึ้นถลึงตาวาวจ้าจ้องมองไปทางหัวโต๊ะอย่างเดือดดาล และก็ได้พบว่าหนุ่มผิวคล้ำนายหนึ่ง กำลังยืนแหมะข้างชิ่งใกล้ๆ กับตำแหน่งที่ชมพูเคยตั้ง ซึ่งบัดนี้พื้นสักหลาดสีเขียวบริเวณนั้นว่างเปล่า ขณะที่ลูกขาวค่อยๆ วิ่งเอื่อยอ่อยสวนเข้าไป หนุ่มนั้นไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี นักเลงสนุ้กเกอร์มือดี ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอดกราวก่อนกระชากเสียงเกรี้ยว

    "
นายใช่มั้ย ที่เหวี่ยงชมพูมาชนขาว?" อีกฝ่ายค้อมศรีษะเยือกเย็น

    "
ใช่"

    "
ทำแบบนี้หมายความว่าไง?"

    "
เราทนดูไม่ได้ที่เห็นนายเอาแต่หลอกแดกมืออ่อนกว่า บอกตรงๆว่าหมั่นไส้"

    "
ไอ้ห่ะ สองคนนี่เป็นเพื่อนนายเรอะ?" จอมต้มหมูเอะอะพลางสะบัดมือชี้เหยื่อดำสั่นหน้า ยักไหล่พรึด

    "
เปล่า ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ"

    "
อ้าว"

    "
รู้แต่ว่าถ้าขืนปล่อยให้เล่นกันต่อไป ไอ้คู่นี้มีหวังยับเยินแน่นอน"

    "
แล้วมันกงการอะไรของมึงวะ? ไอ้สัตว์กะหมา" หนุ่มฟันหลอระเบิดเสียงแผดด่าหยาบคายยันตัวพุ่งปราดเลาะข้างโต๊ะปรี่เข้าหา คนขัดจังหวะด้วยความโมโหโกรธสุดขีด แต่ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามโมโหหน้ามืดจนขาดสติ นักเลงสวนมะลิกลับควบคุมสมาธิมั่นและปักหลักรออย่างไม่พรั่นพรึง พอพระเดชพระคุณผลีผลามเข้ามาได้ระยะเอื้อมตีนถึง บาทาข้างขวาก็ยันสกัดออกไปเต็มแรง

    
ตั้บ...... พื้นเกือกหนาเตอ กระทุ้งเข้ากลางอกเต็มบาทเต็มใบ เซียนสนุ้กเกอร์ถึงกับกระดอนกลับยังกะหมูวิ่งชนตึก ร่างสูงแกร่งหมุนเปะปะรูดไปตามขอบชิ่งและป่ายมือสะดุดเข้ากับคิวที่วางทิ้ง ไว้พอดิบพอดี พี่แกตะปบด้ามคิว หมุนตัวหันกลับและฟาดมันลงขอบโต๊ะเปรี้ยงสนั่น คิวเลานั้นหักสะบั้นเป็นสองท่อนในพริบตา บรรดานักนิยมแทงลูกกลมๆ หลากสีที่หยุดเล่นกะทันหันทุกโต๊ะ และกระจายวงมุงดูอยู่ห่างๆ ประสานเสียงครางฮือฮาด้วยความเสียวสยอว เพราะนาทีนี้ ส่วนโคนของไม้คิวยาวศอกเศษที่กำติดมือเซียนหลอ หักในลักษณะเฉียงปลายแหลมเฉียบน่าพรั่นเหลือประมาณ

24.
ดำ แม้นศรี ซึ่งผ่านประสบการณ์ตีรันฟันแทงทำนองนี้มานักต่อนัก ไม่ได้แสดงทีท่าสะทกสะท้านหวาดไหวอันใดเลย เขายังคงยืนตรึงตัวสงบนิ่งอยู่ข้างชิ่งค่อนไปทางหัวโต๊ะบิลเลียดที่เดิม ตาคมกริบคอยจ้องจับอาการเคลื่อนไหวทุกกระดิกของคู่ต่อสู่ ซึ่งกำคิวหักปลายแหลมกระชับมั่น เหล่านักสาวคิวซึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นไทยมุงยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ต่างสงบปากคำเงียบกริบ ทุกคนเพ่งจ้องอย่างไม่ยอมกระพริบตา และแทบจะลืมหายใจกันไปทั้งเทือก แล้วครางฮือ เมื่อไอ้หลอยันตัวพุ่งปราดจากท้ายโต๊ะ โผนเข้าแทงอย่างดุดัน เสี้ยววินาทีเดียวกับที่มันขยับไหว มือขวาของนักเลงสวนมะลิที่รอจังหวะอยู่ก็ทิ้งลงบนพื้นสักหลาดปูโต๊ะ แล้วสะบัดเหวี่ยงขวับ สีขาวของวัตถุหนึ่ง ผ่านสายตาเพียงแว่บเดียว

    
โป๊ก......

    "
โอ๊ยย์....." ลูกบิลเลียดสีขาวที่หนุ่มเปรียวฉกขึ้นมาจากโต๊ะ ปลิวเข้าตรอกกลางหน้าผากเซียนสนุ้กเกอร์ดังถนัดชัดหูได้ยินกันทั่ว ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวดแผดเอ็ดอึง แม้จะไม่รุนแรงหนังหน่วงเต็มพิกัด เพราะช่วงจังหวะมันฉุกละหุกไม่ได้เหวี่ยงสุดเหนี่ยว เลือดแดงสะพรั่งก็ทะลักออกมาเปรอะเต็มหน้าผากนักต้มหมูในฉับพลัน ก็แตกซีขอรับ ท่านเจ้าคุณ ลูกเซลลูลอยด์แข็งกระด้างหล่นลงโขกพื้นคอนกรีตแกร่งอีกโป๊กบะเร่อ แล้วกลิ้งขลุกขลักไปตามเรื่องตามราวของมันขณะที่คนถือคิวหักซึ่งติดเบรก กะทันหัน ผงะเซซังถอยหลังในอาการมึนเซ่อสะลึมสะลือเหมือนล่อกัญชาเข้าไปทีละเจ็ดบ่อง รวด ดำ แม้นศรี ทะยานตามติดชนิดไม่ยอมทิ้งโอกาสทองให้ผ่านไปแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาที คิงท่อนโคนที่ปรปักษ์ยังกำง่อกแง่ก ถูกเขาตะปบกระชากด้วยมือขวา พร้อมทั้งป่ายตีนข้างเดียวกันยันตูมเข้ากลางอก

    
พลั่ก........ ร่างของเซียนสนุ้กเกอร์ซึ่งมีเลือดแดงเถือกเปรอะเต็มหน้า กระดอนไปกระแทกหลังกับผนังด้านท้ายโต๊ะอีกบึ้กสนั่น และโดยที่คิวหักเปลี่ยนมาอยู่ในมือหนุ่มเปรียวจากสวนมะลิ ซึ่งหากไอ้หลอทรุดลงกองตรงนั้นซะให้รู้แล้วรู้แร่ด มันอาจจะไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวมากนัก แต่นี่พระเดชพระคุณกระเด้งเซซวนกลับออกมาทั้งที่มึนเคไม่รู้ทิศ ก็เลยต้องรับด้ามคิวที่ตวัดส่วนโคนฟาดสวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    
ผัวะ....... ไม้เนื้อแข็งซึ่งถ่วงตะกั่วเพิ่มน้ำหนักไว้ข้างใน กระหน่ำเข้าตรงเหนือกกหูและโหนกแก้มซ้ายจังเบอร์ เลือดกระเซ็นพร่างอยู่ในแสงฟลูออเรสเซ่นท์สเดย์ไลท์กระจ่างโพลน มันเป็นเลือดทั้งจากหน้าผากและโหนกแก้มซ้าย ที่เปิดแผลใหม่แบะอ้า คนฟันหลอถึงกับหน้าสะบัดกางขาวามือหมุนคว้าง หมุนมารับไม้สองที่ตวัดเลยขึ้นสูง และเหนี่ยวกลับเฉียงลงอย่างไม่ยั้งแรง

    
โผะ......... จวกเข้าเหนือขมับขวาดังชวนเสียวไปถึงแก่นกระโหลก เลือดกระฉูดเช่นเคย เซียนสนุ้กเก้อร์หัวปักกลับมาทางซ้ายก่อนจะทรุดยวบลงไปนอนหงายแผ่กับพื้น ชิดผนังด้านท้ายโต๊ะ หนุ่มแสบจากสวนมะลิเหวี่ยงไม้ทิ้ง ถลันเข้าไปเงื้อเท้าหมายกระทืบให้จนเกือก แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นคู่กรณีนอนหลับตาแน่นิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย แม่นแล้ว ถอดจิตไปเรียบร้อยโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งทำสมาธิวิปัสสนาให้ยุ่งยากมาก เรื่อง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำร้ายคนไม่รู้สึกรู้สม

    "
ริบเดิมพันแม่งง์ดีกว่าวะ" ดำ แม้นศรี แค่นคำรามดุๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงตั้งท่าจะล้วงกระเป๋าเสื้อไอ้หลอ แต่เพียงแค่ขยับ เสียงหนึ่งก็ตวาดเกรี้ยวขึ้นทางเบื้องหลังอย่างปัจจุบันทันด่วน

    "
อย่านะ" นักเลงสวนมะลิชะงักมือที่เอื้อมไปแตะกระเป๋าเสื้อเซียนสนุ้กเกอร์ ทั้งๆ ที่จำเสียงได้แม่นยำว่าคนห้ามไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งสืบเท้านำหน้าคู่ซี้ชื่อเดียวกันเข้ามาหยุดยืนข้างหลัง เขาค่อยๆ หดมือกลับ เอี้ยวตัวหันไปแหงะหน้ามองเจ้าของเสียงพลางขมวดคิ้วคลางแคลง

    "
ทำไมล่ะ?" ขาใหญ่บางลำภูแฉลบตาชาเย็นมองไอ้หลอแว่บหนึ่ง ก่อนแจกแจงเสียงขรึม

    "
ถ้าเอ็งแตะต้องเงินแม้แต่สลึงเดียว งานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องทะเลอะวิวาทตีกันหัวร้างข้างแตกหรือทำร้ายร่างกายฎ

    "
หมายความว่า......."

    "
มันจะกลายเป็นชิงทรัพย์ และถ้านับรวมข้ากะปุ๊เจิดเข้าไปด้วยก็ต้องเจอข้อหาปล้น"

    "
เฮ้ย......."

    "
พวกเราจะเป็นโจรไปทันที และก็ต้องถูกตำรวจตามล่าอย่างจริงจัง เอ็งจะเอาหยั่งงั้นรึ?"

    "
ไม่อาวดีกว่า" ดำ แม้นศรี ยิ้มจืดเจื่อนส่ายหน้าช้าๆ ยันตัวยืนขึ้นขณะที่นักบู๊ตรอกสาเกร้องบอกบรรดาไทยมุง

    "
ไอ้หลอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ช่วยบอกมันด้วยว่าไอ้วิธีการปลอดตัวเป็นหมูเดิน สายไปหลอก แดกต่างถิ่นนะให้เลิกซะ ไม่งั้นจะเจ็บตัวหนักยิ่งกว่านี้" จบคำ เขาหมุนตัวก้าวนำสองขุนรบคู่บารมีแหวกกลุ่มนักสาวคิวออกจากก้นโรงบิลเลียด

    "
คือว่า.......ฉัน.......ฉัน......."

    "
เอางี้ ถ้าเฮียอยากจะเปิดโต๊ะทำมาค้าขายตามปกติ ไม่มีใครมาก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ทีหลังก็วางหูซะ" แคชเชียร์ประจำโต๊ะสนุ้กฯ ถอนใจแผ่วลนลานเกี่ยวกระบอกโทรศัพท์กับขอแขวนด้านข้างเครื่อง แล้วหันมาแยกเขี้ยวยิ้มแห้งๆ โชว์ฟันเหลืองอ๋อยแซมทองแถวบนสองซี่ ข้าใหญ่บางลำภูผงกศรีษะเนิบช้า

    "
ดี พวกผมแค่มาคิดบัญชีกับไอ้หลอเท่านั้นเอง ไม่ได้อาละวาดระรานคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือทำลายข้าวของอะไรบนนี้เลย เพราะฉะนั้น.......อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่" อาเฮียพยักหน้า "แฮ่ะ คับ"

    "
ไม่แจ้งตำรวจแน่นะ......?"

    "
ไม่คับ ไม่เหล็กขาก เอ๊ย......เด็ดขาด" จิ้งจอกอันตรายหัวโจกใหญ่ ควักเงินสามบาทสืบเท้าไปวางแปะลงบนโต๊ะที่เคยนั่งเป็นค่าน้ำส้มสามขวดแล้ว เลิกคิ้วถาม "เฮียเห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนทำไม้คิวหัก?"

    
ฝ่ายนั้นรีบพยักหน้ารับ "เห็นซี ไอ้หลอมันจับฟาดกะขอบชิ่ง"

    "
แบบนี้ เงินค่าคิวจะเก็บที่ใคร?"

    "
ก็ไอ้หลอ อีเป็นคนทำหัก"

    "
แปลว่าพวกผมไม่มีอะไรติดค้าง...?"

    "
ไม่มี ไม่มีเลย ค่าน้ำขวดนายก็จ่ายนี่นา"

    "
งั้นผมกลับละ โชคดีเฮีย" เอ่ยจบ ปุ๊ ระเบิดขวด ไหวตัวเดินนำพรรคพวกเลยไปก้าวลงบันไดหายลับ อาเฮียสาวเท้าไปหยิบค่าน้ำส้มหย่อนลงไถ้ข้างเอว เหลือบมองโทรศัพท์แล้วยักไหล่พรืด ถึงตรงนี้ ตะแกไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแน่นอน

    
ลงจากโต๊ะบิลเลียดหลังตลาดประตูน้ำ สามหนุ่มอันตรายเดินทะลุออกด้านถนนราชปรารภเลี้ยวขวาตัดผ่านสี่แยก ข้ามสะพานเฉลิมโลกไปอีกนิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้าศูนย์การค้าราชประสงค์ เปล่าดอก จุดหมายไม่ได้อยู่ที่สถานโบว์ลิ่งละไมและมีรสนิยมวิไลกว่าเพื่อน เสนอความคิดเห็นว่าควรจะไปนั่งรับแอร์เย็นๆ สบายผิวท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น