ดำ เอ๊สโซ่
ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งขยับท่าจะจี้ตามเข้าขยี้ปรปักษ์ ต้องชะงักเท้าหยุดกึก ก็มีดในมือพระเดชพระคุณ ไม่ใช่อีดาบพลาสติกของเด็กเล่นนี่ขอรับ "เหล็กทั้งแท่ง" เจ้าถิ่นหลังวัดมะกอกซึ่งมีเลือดกบปากแดงเถือก จ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาวาวจ้าบอกความโกรธแค้นสุดขีด เคี้ยวกรามกร้ามสนั่นแล้วโผนเข้าแทงหมายเสียบให้จมมีด ขาไฮโลที่กระจายออกไปยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ครางฮือฮาแทบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ก็เท่านั้น นักสู้จากฝั่งธนฯ ซึ่งโชกโชนด้วยประสบการณ์และความเจนจัด เพียงแค่พลิ้วฉากหลบออกทางขวา ปลายแหลมเฉียบจของมีดสั้นก็กรีดอากาศว่างเปล่าผ่านหน้าท้องไปในระยะห่าง ร่วมสองคืบ ซึ่งแน่ละ เมื่อแทงพลาดเป้าเจ้าจองมีดก็ต้องคะมำถลาตามอย่างช่วยไม่ได้ และก็คะมำเข้ารับแข้งซ้ายที่จอมกรี๊ดดีดสวนช้อนขึ้นเต็มแรง พลั่ก......
"อั่กก์........" แข้งแข็งๆ กระหน่ำยอดอกดังหนักแน่นดีพิลึก แรงบวกทำเอาวัยรุ่นเจ้าถิ่นซึ่งหลุดเสียงสำลักสั้นๆ ออกมาแค่ครึ่งคำ ถึงกับกระเด้งกระดอนถอยกลับ ลากก้าวเซสะเปะสะปะเหมือนลิงเมากะแช่ จอมดีเดือดแห่งวงเวียนเล็กขยับจะฉกมือขวาเข้าหามีดคู่กายที่พกพาซุกซ่อนติด ตัว มันเป็นจังหวะเดียวกับที่นักบู๊ตรอกสาเกแผดตะโกนลั่น
"ปุ๊ ไม้" เขาชะงัก และแฉลบหางตามองเครื่องทุ่นแรงที่เพื่อนโยนลอยโด่งเข้ามามือขวาจึงเปลี่ยน เป็นฉวัดขึ้นรับอย่างคล่องแคล่ว ปรากฎว่ามันเป็นระแนงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณนิ้วครึ่งยาวหวิดสองศอก ไม่ใช่ไม้ใหญ่โตอะไรนัก แต่หากใช้ให้เป็น มันก็สามารถสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดได้ไม่น้อย ที่แน่ๆก็คือมันได้เปรียบตรงความยาว พอได้อาวุธ ปุ๊ กรุงเกษม ก็กระชับไม้ในลักษณะเฉียงปลายขวางขึ้นเหนือไหล่ซ้าย และเป็นฝ่ายย่างรุกเข้าหาอย่างกระเหี้ยนกระหือ และแทนที่จะถอยหรือหลบเลี่ยงเมื่อฝ่ายตรงข้ามโถมแทง เขากลับตีตวัดในรูปแบ๊คแฮนด์ฟาดสกัดตรงๆชนิดแลกกันให้รู้ดีรู้ชั่ว
โผะ..... ไม้เนื้อแข็งท่อนเล็กหวดเข้าตรงขมับขวาเต็มเงี่ยงเต็มงา เลือดข้นคลั่กทะลักพรวด เพราะเหลี่ยมไม้เปิดแผลแบะอ้ายาวไม่ต่ำกว่าห้าเข็มเย็บ อ๊อด สวนเงิน ซึ่งเหยียดปลายมีดอยู่ห่างแผงอกคู่ต่อสู้ร่วมศอกถึงกับหัวทิ่มเอียงไปทาง ซ้ายอย่างไม่เป็นองค์ กระนั้น มือขวาก็ยังไม่ปล่อยอาวุธ แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อเจ้าตัวอยู่ในสภาพมึนเคแทบไม่รู้ทิศ ไม่มีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวหรือแม้แต่หลบเลี่ยงด้วยซ้ำ ไม้ระแนงที่นักสู้ต่างถิ่นตีตวัดกลับ เหวี่ยงช้อนจากล่างขึ้นบนจึงไม่พลาดเป้า
โผะ........ มันจวกเข้าตรงโหนกแก้มซ้ายเต็มรัก เลือดกระฉูดอีกเช่นเคย ไม้ดุ้นเล็กถึงกลับหักสะบั้นเป็นสองท่อนขณะที่คนถูกตีหมุนคว้างไปหวิดสองรอบ แล้วคว่ำ ลงตะครุบกบแอ่นอกตบพื้นอีกป้าบบะเร่อ แต่เจ้าถิ่นวัดมะกอกก็ทนทรหดเหลือกำลังลาก เจอเข้าไปหนักๆ ขนาดนั้น พี่แกยังอุตส่าห์ยักแย่ยักยันพยุงตัวขึ้นคลานสี่ขาส่ายหัวง่อกแง่กโดยที่มือ ขวายังกำด้ามมีดไว้มั่นคง ไอ้รุ่นแสบจากฝั่งธนฯ เหวี่ยงไม้ทิ้ง โจนผึงเข้าไปเงื้อตืนขวากระทืบโครมลงบนหลังมือข้างนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย
"อ๊ากก์........" อ๊อด สวนเงิน แยกเขี้ยวเบี้ยวปากร้องลั่นมือที่กำมีเหยียดนิ้งทั้งห้ากางพรึ่บ ก่อนที่ตีนหุ้มเกือกข้างเดิมจะดีดช้อนเข้าใต้คางเต็มเหนี่ยว
กร๊วบ...... ร่างที่อยู่ในท่าคลานสี่ขา กระตุกสะท้านขึ้นทั้งตัวและพลิกหงายตึง แน่นิ่งสนิทไปทันใด
ผลงานชิ้นแรกของปุ๊ กรุงเกษม ที่ถล่มหนุ่มซ่าประจำซอยสวนเงินซะอ่วมอรทัยคาถิ่นหลังวัดมะกอก ทำให้ดาวดังตรอกสาเกชื่นชอบและเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่าตัวเองเลือกบัดดี้ไม่ผิด หลังจากนั้น เขาก็พาคู่ซี้คนใหม่ออกเดินสายอาละวาดฟาดงวงฟาดงาเป็นว่าเล่น ปุ๊ ระเบิดขวด เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น และคอยหมกมุ่นอาฆาตมาดร้ายอยู่ร่ำไป ใครทำให้ขุ่นเคืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เจตนาหรือไม่ก็ตาม พ่อจดเข้าบัญชีไว้หมด คู่กรณีที่ "ค้างชำระ" รอปฏิบัติการจองเวรจึงมีมากมายทุกหัวระแหง ซึ่งขาใหญ่บางลำภูก็จะควงคู่ตัวแสบแห่งย่านฝั่งธนฯ พาสมัครพรรคพวกตระเวรเก็บต้นทบดอกไปตามตรอกซอย อันเป็นถิ่นฐานของฝ่ายตรงข้ามแทบไม่เว้นแต่ละวัน และโดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะลงมือเอง ส่วนใหญ่จะสะกิดบั๊ดดี้ออกหน้าเสมอ เว้นไว้เสียแต่ว่าบังเอิญโคจรไปเจอกลุ่มของแดง ไบร์เลย์ ซึ่งนักสู้จากวงเวียนเล็กจะไม่แตะต้อง เพราะจะอย่างไร เขาก็ยังยึดมั่นว่าแดงคือเพื่อน นั่นแหละ ปุ๊ ระเบิดขวด ถึงจะออกโรงแสดงบทบาทก่อกวนระรานและข่มเหงรังแกบริวารของคู่แค้น สองหนุ่มอันตรายเดินเคียงไหล่สร้างความปั่นป่วนในยุทธจักรวัยรุ่นชั่วระยะ หนึ่ง โหล แม้นศรี เพื่อนร่วมแก๊งระดับขุนรบ ก็พาสมาชิกใหม่มาแนะนำตัวเพื่อที่จะให้เดินลุยด้วยกัน คนๆนั้น เป็นหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างสูงเพรียวลักษณะท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียวฉับไว ชื่อ ดำ แม้นศรี นักบู๊ตรอกสาเก ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจของดำมาก่อนหน้านี้พอสมควรเขาจึงไม่ลังเลที่จะ อ้าแขนรับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการทดสอบพิสูจน์คุณภาพให้ประจักษ์แจ้งแก่ตา ซึ่งวันเวลาทดสอบก็มาถึงไม่ช้านัก
ช่วงปีพุทธศักราช 2504 ย่านราชประสงค์ทั้งทางด้านถนนเพลินจิตและราชดำริยังไม่สะพรั่งไปด้วยตึกราม ทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าสูงลิ่วระฟ้าเหมือนปัจจุบัน อาคารร้านค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงตึกแถวธรรมดาๆ สูงแค่สองสามชั้น แบ่งซอยเป็นบล๊อคๆและมีตรอกเล็กซอยน้อยเชื่อมทะลุถึงกันตลอด แต่ราชประสงค์ก็เรียกได้ว่าเป็นย่านของความเจริญฟูเฟื่องเต็มที่และมีระดับ พรั่งพร้อมไปด้วยห้างร้านขายของสารพัดสารพันซึ่งล้วนแต่ชั้นดีราคาแพงไว้ ต้อนรับลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ และที่ขาดไม่ได้ ต้องมีควบคู่กันไปก็คือสถานบันเทิงหลากหลายรูปแบบ โรงโบว์ลิ่งซึ่งเปิดเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวที่ถนนเกษรในย่านราชประสงค์ ก็เป็นแหล่งบันเทิงที่ขึ้นหน้าขึ้นตามไม่น้อย สมัยนั้น โบว์ลิ่งเป็นกีฬาในร่มที่ยังใหม่เอี่ยมสำหรับเมืองไทย นิยมกันในหมู่ผู้ลากมากดีและพวกหัวสมัยใหม่ไฮโซ รวมทั้งคนที่พยายามทำตัวให้ทันสมัย ซึ่งกลุ่มหลัง ก็มีบรรดาวัยรุ่นที่กำลังเติบโตใกล้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรวมอยู่ด้วย ถ้าใครต้องการเท่ห์เก๋ไก๋ ดูดีมีระดับ ก็มักจะไปเดินเตร็ดเตร่เต๊ะจุ๊ย ฉุยฉายชมสินค้าร้านรวงแถวราชประสงค์ แวะนั่งวางมาดสั่งอาหารฝรั่งในร้านลิตเติ้ลโฮม เบเกอรี่ หรือไม่ก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งทั้งๆที่เล่นไม่เป็น แค่ไปดูเขาเล่นก็โก้แล้วว่ะ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างซ้ายขวา ดำ แม้นศรี กับ ปุ๊ กรุงเกษม ก็เช่นกัน หลังจากเดินทอดหุ่ยดูร้านรวงและสาวๆ ในย่านราชประสงค์ตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบสองทุ่ม ทั้งสามหนุ่มก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งตามฟอร์ม ภายในซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเย็นสบายผิวดำลังคึกคักด้วยเหล่านักโยนลูก เซลลูลอยด์ ซึ่งยึดครองทุกเลนเต็มไปหมด เสียงตะโกนยั่วเย้า เสียงสรวลเสเฮฮา เสียงปรบมือให้คนทำสไตร๊ค์ เสียงลูกโบว์ลิ่งวิ่งตอกพินระเบิดกระจาย และเสียงโยนลูกวิ่งตึงตังเป่ลงรางเพราะมือยังอ่อนหัด ดังคละเคล้าประสานกันแซ่แซ่วกึงกังโครมครามอยู่ไม่ขาดระยะ สามตัวแสบเลือกนั่งโต๊ะว่างที่จัดวางๆไว้เป็นสัดส่วนต่างหากทางด้านหัวเลน สั่งเบียร์และน้ำส้มคั้นสำหรับนักบู๊ตรอกสาเก ซึ่งไม่ค่อยจะพิสมัยรสชาติของแอลกอฮอล์ล พอของที่ต้องการมาถึง จอมกรี๊ดแห่งวงเวียนเล็กเพิ่งรินเบียร์จิบได้อึกเดียว เจ้าถิ่นบางลำภูก็สะกิดผู้ติดตามคนใหม่พลางบอกเสียงเคร่ง
"เอ็งมีงานแล้ว ไอ้ดำ" หนุ่มเปรี้ยวะเจ้าของฉายา ดำ แม้นศรี ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ชะงักมือที่ดำขวดตั้งท่าจะรินลงแก้ว เหลือบมองนักบู๊ตรอกสาเกพลางกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น
"งานอะไร"
"กระทืบคน"
"ไหนล่ะ?"
"รินเบียร์ให้เรียบร้อยซะก่อน" ดำปฏิบัติตามคำบอก และวางขวดลงพร้อมกับเสียงถามของหัวโจก
"เห็นไอ้คนใส่เสื้อสีน้ำเงินลายจุดขาวที่เล่นอยู่เลนห้ามั้ย?" เขาเหลือบมองแว่บเดียวแล้วผงกศรีษะ
"เห็น หมอนั่นไม่ได้ลงเล่นนี่ นั่งดูเพื่ออีกสองคนมากกว่า"
"นั่นแหละ ปกติมันเดินอยู่ในกลุ่มพวกไอ้แดง"
"เรอะ งั้นก็ศัตรูของเรา"
"ใช่ เอ็งจัดการได้เลย"
"เพื่อนมันสองคนล่ะ?"
"ไม่เกี่ยว" หนุ่มเปรียวยกแก้วขึ้นกรอกเมรัยลงคอเต็มอึก แล้วแค่นเสียงเกรียม
"ถ้าไอ้คู่นั้นจะเกี่ยวด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร"
"เอ็งฉายเดี่ยวนะ"
"เออน่ะ เรื่องเล็ก" จบคำ เขาวางแก้วลงขณะเดียวกับที่เป้าหมายลุกจากโต๊ะหัวเลนที่ 5 จ้ำดิ้งไปยังห้องสุขาสำหรับบุรุษเพศ ดำ แม้นศรี จิบเบียร์อีกอึกแล้วลุกขึ้น ก้าวตัดข้ามโถงกว้างโล่งตามไปอย่างไม่โอ้เอ้ ไอ้นี่ใจเร็วชะมัด ปุ๊ ระเบิดขวด พึมพำด้วยน้ำเสียงชื่นชอบ สบตามคู่หูชื่อเดียวกันพลางพยักหน้าช้าๆ ก่อนเรียกบริกรมาเก็บเงิน เพราะหากต้องเผ่นหนีกะทันหัน จะได้ไม่มีบ๋อยหรือคนของที่นี่คอยสกัดขัดขวางหรือไล่ตามให้ยุ่งยากมากเรื่อง
หนุ่มรุ่นใส่เสื้อเชิ้ตคอตั้งสีน้ำเงินลายจุดขาว เพิ่งเสร็จธุระรูดซิฟกางเกงหมุนตัวผละจากโถปัสสาวะที่เรียงรายกันเป็นแผงใน ห้องน้ำชายกว้างขวางสะอาดสะอ้านซึ่งบังเอิญปลอดคน เสียงสรวลเสเฮฮาและเสียงตึงตังโครมครามเบื้องนอกยังได้ยินแว่วๆ ไม่ขาดระยะตามธรรมดาของโรงโบว์ลิ่ง เขาสืบเท้าไปล้างมือในอ่างเคลือบหน้ากระจกเงา แฉลบหางตามองคนที่ก้าวตามเข้ามาใหม่อย่างไม่ใส่ใจ แน่ละคนๆนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี ซึ่งแทนที่จะเลี้ยวไปหาโถปัสสาวะหรือโถส้วมตามปกติของคนเข้าห้องน้ำ เขากลับตรงรี่มาหาหนุ่มสำอางที่ยืนเอียงซ้ายขวา สำรวจทรงผมสไตล์เอลวิสอยู่หน้ากระจกบานใหญ่พอถึงตัวก็ยกมือผลักไหล่โดยไม่ พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา
"อ๊ะ......." หนุ่มเสื้อลายหลุดอุทานตื่นๆ เซถลาไปตามแรงผลักสองสามก้าว ก่อนจะหันขวับมากระชากเสียงเดือดดาลระคนงุนงง
"นี่มันอะไรกันวะ?" ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ไม่โต้ตอบหรือแม้แต่ปริปากเอ่ยคำใดออกมา เขาสะอึกเข้าประชิดจ้วงด้วยอีขวาเต็มเหนี่ยว
"ฉาด........." กำปั้นแข็งกระด้างตะบันซอกกรามซ้าย ดังแสบสะท้านอยู่ในบริเวณห้องอับทึบ วัยรุ่นเสื้อลายซึ่งไม่ทันได้ระมัดระวังตั้งรับการจู่โจมถึงกับหน้าสะบัด ิเริ่ด เซแซ่ดๆไปกระแทกหลังไหล่กับผนังคอรกรีตอีกพลั่กสนั่น หมอเด้งตัวออกมาป่ายตีนถีบสกัดเปะปะตามมีตามเกิดเมื่อปรปักษ์ถลันเข้าซ้ำ แต่มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดำ แม้นศรี แค่ปัดนิดเดียว อาวุธยาวของฝ่ายตรงข้ามก็เบนวืดออกข้าง พริบตาติดต่อกัน แขนซ้ายของเขาก็พับศอกขวิดสวนสุดแรงเรียม
โฉะ..........
23. เสียงดังราวกับทุบไม้ผุด้วยสันขวาน เมื่อศอกดุ้นนั้นจวกเข้าบริเวณปากครึ่งจมูกครึ่งรุนแรงเหลือรับ คนเจอศอกร้องอู้ฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ ผงะถอยสะบัดท้ายทอยโขกผนังอีกตึงบะเร่อ ทั้งปากและจมูก แดงเถือกไปด้วยเลือดข้นคลั่กที่ทะลักทะลายไหลเปรอะ ดำ แม้นศรี ฉากถอยหลังเล็กน้อยหมายถล่มด้วยแข้งให้จอดคาคอก แต่ก็ต้องชะงัก ขนทั่วร่างลุกเกรียว เพิ่งเห็นถนัดชัดตาเอาตอนนี้เอง ว่าคู่ต่อสู้กระตุกมีดสั้นจากที่ซ่อนออกมากำอยู่ในมือขวาตั้งแต่เมื่อไหล่ ไม่รู้ นั่นหมายถึงว่าถ้าเขาถอยช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาทีไม่แผ่นอกก็หน้าท้อง ต้องกลายเป็นฝักมีดแน่นอน ทว่า พอเด้งห่างออกมาเกินเอื้อม เหล็กแหลมเล่มนั้นก็ไร้ความหมายเนื่องจากมันกำด้วยมือที่สั่นระริก เจ้าของมีดก็ยืนเซซังสะลึมสะลือตาลอยคว้างด้วยพิษหมัดบวกศอกที่เจอเข้าเต็มๆ ทั้งสองขนาน และเสือกมีดแทงแกว่งเปะปะอย่างหมดสภาพที่จะต่อสู้ เมื่อเขาสืบเท้าโฉบเข้าหา เสือดาวเปรียวจากสวนมะลิเพียงแต่เบี่ยงตัวนิดเดียวก็หลบพ้น และสะบัดแขนฟาดข้อมือที่กำอาวุธทันควัน ผัวะ........
"โอย......" ฝ่ายตรงข้ามหลุดเสียงครางแหบแห้ง มีดหลุดจากมือร่วงผล็อย ก่อนถูกรวบคอกระชากคะมำลงรับเข่า ที่กระทุ้งเสยสวนขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสียงเข่าทั้งซ้ายขวากระแทกเป้ารุนแรงหนักหน่วง ดังบึกบักผัวะผะซ้ำซ้อนกันไม่กี่ที วัยรุ่นเสื้อลายก็รูดลงไปนอนหงายครึ่งตะแคงแน่นิ่งโดยมีเลือดเปรอะเต็มหน้า กระนั้นก็ยังไม่สะใจไอ้หนุ่มอันตรายซึ่งกำลังบ้าดีเดือด เขาใช้มือซ้ายค้ำคอคู่ต่อสู้ มือขวาฉวยมีดที่หล่นเค้เก้อยู่กับพื้นเงือดเงื้อขึ้นสุดล้า เพียงชั่วพริบตาก่อนจะทันได้ปักมีดลง มือแข็งแรงก็ตะปบแขนขวากำไว้มั่น ดำ แม้นศรี หันขวับไปแหงะหน้ามองอย่างตื่นตระหนกแล้วถอนใจพรวด เมื่อได้พบว่าเจ้าของมือ คือ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างด้วยคู่ซี้ ปุ๊ กรุงเกษม
"พอที........" ขาใหญ่บางลำภูทิ้งเสียงหนัก "เกือบไปแล้วไหมล่ะ นี่ถ้าข้าไม่ตามเข้ามา เอ็งก็ฆ่าคนตายซีวะ" หนุ่มแสบจากสวนมะลิคลายมือทิ้งมีดแล้วว่าเสียงอ่อย
"มันโมโหจนลืมตัว ก็ไอ้เวรนี่เสือกชักมีดออกมาจะแทงข้าก่อน"
"รู้จักยับยั้งชั่งใจมั่งซี....." หัวโจกเอ่ยเตือนสติและปล่อยแขนคนเลือดร้อนเป็นอิสระ "เรื่องแค่นี้มันไม่ถึงกับต้องฆ่า เอาละ รีบไปกันเถอะ"
"เดี๋ยว ปล่อยมันนอนอยู่หยั่งงี้คงไม่เหมาะนัก" เอ่ยจบ ดำ แม้นศรี จัดแจงลากร่างอ่อนปวกเปียกเข้าไปนั่งซุกคอพับข้างโถชักโครกในห้องส้วม ดึงประตูปิดโดยไม่ลืมล็อคลูกบิดไว้อีกชั้นหนึ่งก่อนเก็บมีดโยนลงถังขยะ และแล้ว สามหนุ่มอันตรายก็เอ้อระเหยลอยชายออกจากโรงโบว์ลิ่งอย่างสะดวกโยธิน
ในกระบวนเด็กหนุ่มกวนเมืองระดับแถวหน้า ปุ๊ ระเบิดขวด นับได้ว่าเป็นตัวร้ายกาจสุดยอด เขามีทั้งความกลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบายประสบการณ์โชกโชนเจนจัดไม่ว่าจะใน ด้านใช้กำลังความรุนแรง หรือแง่มุมที่จะพลิกพลิ้วหลีกเลี่ยงตัวบทกฎหมาย วาทศิลป์ลิ้นลมอันคมคายสามารถโน้มน้าวใครต่อใครให้คล้อยตามได้ไม่ยาก ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ดำ แม้นศรี จึงให้ความยกย่องนับถือ และเชื่อฟังในแทบจะทุกกรณี เขาพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ ตามแต่ปุ๊จะบัญชาไม่ว่าจะให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ขณะเดียวกัน พฤติกรรมห่ามเหี้ยมของหนุ่มห้างจากสวนมะลิ ซึ่งแสดงให้เห็นในสถานโบว์ลิ่งถนนเกษรก็เป็นที่สบอารมณ์ขาใหญ่บางลำภูยิ่ง นัก เพราะดำไม่เพียงแต่จะดุดันเฉียบขาดปราดเปรียวฉับไวใส่เต็มเกียร์ชนิดถึงลูก ถึงคน เขายังตัดสินใจรวดเร็ว กล้าที่จะลงมือทำร้ายใครก็ได้โดยไม่รีรอลังเล และไม่เลือกว่าสูเจ้าจะเป็นเทวดาองค์ใด ขอให้ลูกพี่สั่งมาเถอะ ซึ่งนี่แหละ แบบฉบับของตัวชนที่นักบู๊ตรอกสาเกต้องการไว้เป็นหัวหอกลุยศึก แต่แม้จะ "ทดสอบ" คุณภาพเป็นที่พอใจระดับหนึ่งแล้ว จิ้งจอกอันตรายอย่างปุ๊ ระเบิดขวดก็ยังไม่วายลองของ เมื่อพาสองหนุ่มแสบคู่ใจตระเวนหาเรื่องรายวัน ขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารด้านหลังตลาดประตูน้ำในตอนหัวค่ำวันต่อมา ที่นั่น เป็นโรงบิลเลียดหรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่าสนุ้กเกอร์ คลับ ช่วงเวลานั้น โต๊ะมาตรฐานขนาดสิบสองฟุตปูสักหลาดสีเขียวสดใสทั้งห้าตัว ซึ่งตั้งรายเรียงกันเข้าไปตามความลึกของห้อง ไม่มีว่างเลย ทุกโต๊ะแวดล้อมด้วยนักเลงสนุ้กเกอร์ ที่ตั้งหน้าตั้งตาบรรเลงเพลงคิวเชือดเฉือนกันสุดฤทธิ์สุดเดช แถมยังมีพวกที่นั่งรอชูคอสลอนอยู่บนม้ายาว ชิดผนังด้านข้างอีกต่างหาก ท่ามกลางเสียงตะโกนพูดคุยเย้าหยอกกันเสียงตบมือตีตีนหัวเราะชอบใจ เสียงสบถด่าหยาบคายเมื่อตบพลาดหลุม และเสียงกระแทกหัวคิววิ่งตอกลูกสีก๊อกแก๊กเกรียวกราว ที่ดังคละเคล้าปนเปกันอยู่ตลอดเวลา สามจอมป่วนกวาดตามองไปรอบๆแว่บหนึ่ง แล้วจ่อมก้นลงนั่งล้อมโต๊ะตัวย่อมหน้าคอกขายของซึ่งมีทั้งน้ำอัดลม เหล้า เบียร์และบุหรี่พร้อมสรรพ คนขายก็คือหนุ่มใหญ่เชื้อจีนร่างเล็กผอมกระหร่อง ผู้ดูแลโต๊ะสนุ้กฯ นั่นเอง พี่แกรับเหมาทั้งหน้าที่แคชเชียร์เก็บเงินค่าเกม เจ้าของร้านเครื่องดื่มและคนขายคนเสิร์ฟทุกตำแหน่ง เผลอๆ ยังแบ่งภาคไปเป็นมาร์คเก้อร์ตั้งลูกสนุ้กฯ หากอยู่ในช่วงจังหวะว่าง เรียกว่าหยิบฉวยมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เขาใหญ่บางลำภูร้องสั่งน้ำส้มสามขวด ซึ่งก็ถูกยกมาตั้งให้โดยไม่ชักช้า จากนั้นก็เอ่ยถามก่อนที่คนเสิร์ฟจะผละไป "เฮีย วันนี้ไอ้หลอมารึเปล่า?" ชายร่างเล็กพยักหน้าหงึกและวาดมือชี้
"มา เล่นอยู่โต๊ะในสุดนู่นไง" นักบู๊ตรอกสาเกชะเง้อมองตาม
"คนไหน?"
"ก็ไอ้ที่หวีผมเป่ ฟันหน้าแถวบนหายไปซี่นึง สังเกตไม่ยากหรอก ลักษณะนี้ทั้งโต๊ะมีมันอยู่คนเดียวนายถามทำไมล่ะ?"
"พรรคพวกเขาบอกว่ามือมันเหนือชั้น"
"อ๋อ.....น้องๆเซียนเลยนะ ที่เห็นเล่นกันอยู่นั่นขนาดไอ้หลอต้องต่อแต้มให้คนละตั้งสิบห้าแดงก็ยังรับทรัพย์แทบทุกเกม"
"งั้นเรอะ"
"ไม่แน่จริงอย่าเผลอไปเล่นกะมันเชียวนาขอเตือนด้วยความหวังดี"
"ขอบคุณ รับรองไม่เผลอแน่เฮีย อย่างพวกผมถ้าจะเล่นต้องจงใจ คำท้าย ปุ๊ ระเบิดขวด เน้นเสียงเย็นลึก ตาดุกระด้างวาบประกายวาว และพอชายร่างกะหร่องก้าวผละเข้าหลังคอกขายเครื่องดื่ม ปุ๊ กรุงเกษม ก็เอ่ยขึ้นด้วยการใช้สรรพนามที่บอกถึงความสนิทชิดเชื้อ
"ข้าเชื่อว่าเอ็งคงไม่หมายถึงเล่นสนุ้ฯ" หนุ่มชื่อเดียวกันแค่นยิ้ม "เอ็งเข้าใจถูกต้อง ข้าหมายถึงเล่นคน"
"แน่นอน สามสี่วันก่อนมันปลอมตัวเป็นหมูเดินสายไปที่โต๊ะบำเพ็ญบุญ หลอกแดกไอ้เหลิมซะหมดตูดไม่เหลือกระทั่งค่ารถ"
ไอ้เหลิมไหน?"
"ไอ้เหลิม พรานนก" ดำ แม้นศรี เงบขวับขึ้นจากหลอดดูดที่เสียบปากขวดน้ำส้ม ตวัดเสียงสอดเบาๆ "พวกเรานี่หว่า" ขาใหญ่บางลำภูพยักหน้า "ใช่ ข้าได้ยินว่าไอ้เหลิมมักจะสิงสู่ประจำอยู่ที่นี่ เลยเตร่มาดูเผื่อจะเจอตัว ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง
"ตะกี้ เฮียเขาบอกว่ามันเล่นอยู่โต๊ะในสุด" นักบู๊ตรอกสาเก หรี่ตาเจ้าเล่ห์ตามสไตล์จิ้งจอกอันตรายขนานแท้พลางลากเสียง
"กะลังเคี้ยวหมูเพลินซะด้วย เอ็งช่วยออกแรงหน่อยนะ ข้ากะปุ๊เจิดจะคอยคุมเชิงระวังหลัง" หนุ่มเปรียวจากสวนมะลิยันตัวลุกพรวดทิ้งเสียงมาดมั่นไม่มีอาการลังเลแม้แต่ น้อยนิด
"ได้ ข้าจัดการเอง"
เด็กหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบรูปร่างสูงแกร่งท่าทางหลุกหลิกไว้ผมเป๋ปาดด้วย ตันโจ ติ๊คหวีเรีบบแปล้กระชับคิวสิบหกออนซ์สีนวลจำปาด้วยมาดทะมัดทะแมง ยืนเอียงคออยู่ตรงท้ายโต๊ะปูสักหลาดสีเขียว จับตามองลูกเซลลูลอยด์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองนิ้วที่เหลือเพียง น้ำเงิน ชมพู ดำ และขาวซึ่งกำลังวิ่งเอื่อยๆ ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง และพอขาวหยุดนิ่งตรงตำแหน่งที่สามารถตบน้ำเงินลงหลุมกลางแล้วฟอลโล่ว์ไปกิน ชมพูหลุมมุม และต่อด้วยดำลูกสุดท้ายได้สบายมือ หมอก็แยกเขี้ยวยิ้มร่า เผยให้เห็นฟันหน้าด้านบนที่แหว่งหายไปหนึ่งซี่
"หมดโต๊ะ......" คนฟันหลอร้องเสียงใสรื่นเหมือนจะเย้ยหยันแกมข่มขวัญคู่ต่อสู้อีกสองนายที่ ยืนกระพริบตาปริบๆ หมดอาลัยตายอยากอยู่ใกล้ๆกัน จากนั้นก็สาวเท้าเลาะข้างโต๊ะไปโน้มตัววางมือ จรดคิวจ่อขาวสาวเล็งอย่างบรรจง เพราะหากตบลูกนี้ลงหลุม แต้มของฝ่ายตรงข้ามทั้งสองหน่อจะขาดลอยทันที และนั่นหมายถึงชัยชนะซึ่งมีเงินพนันเป็นบำเหน็จ ทว่า ยังไม่ทันได้เสือกคิวกระทุ้งออกไป ลูกสีชมพูก็วิ่งจี๋มาตอกขาวเต็มรัก ก๊อก........ เซียนหลอสะดุ้งเฮือก พร้อมกับที่ลูกขาวและชมพูกระเด้งไปคนละทิศ เขาวางคิว เด้งตัวเงยขวับขึ้นถลึงตาวาวจ้าจ้องมองไปทางหัวโต๊ะอย่างเดือดดาล และก็ได้พบว่าหนุ่มผิวคล้ำนายหนึ่ง กำลังยืนแหมะข้างชิ่งใกล้ๆ กับตำแหน่งที่ชมพูเคยตั้ง ซึ่งบัดนี้พื้นสักหลาดสีเขียวบริเวณนั้นว่างเปล่า ขณะที่ลูกขาวค่อยๆ วิ่งเอื่อยอ่อยสวนเข้าไป หนุ่มนั้นไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี นักเลงสนุ้กเกอร์มือดี ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอดกราวก่อนกระชากเสียงเกรี้ยว
"นายใช่มั้ย ที่เหวี่ยงชมพูมาชนขาว?" อีกฝ่ายค้อมศรีษะเยือกเย็น
"ใช่"
"ทำแบบนี้หมายความว่าไง?"
"เราทนดูไม่ได้ที่เห็นนายเอาแต่หลอกแดกมืออ่อนกว่า บอกตรงๆว่าหมั่นไส้"
"ไอ้ห่ะ สองคนนี่เป็นเพื่อนนายเรอะ?" จอมต้มหมูเอะอะพลางสะบัดมือชี้เหยื่อดำสั่นหน้า ยักไหล่พรึด
"เปล่า ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ"
"อ้าว"
"รู้แต่ว่าถ้าขืนปล่อยให้เล่นกันต่อไป ไอ้คู่นี้มีหวังยับเยินแน่นอน"
"แล้วมันกงการอะไรของมึงวะ? ไอ้สัตว์กะหมา" หนุ่มฟันหลอระเบิดเสียงแผดด่าหยาบคายยันตัวพุ่งปราดเลาะข้างโต๊ะปรี่เข้าหา คนขัดจังหวะด้วยความโมโหโกรธสุดขีด แต่ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามโมโหหน้ามืดจนขาดสติ นักเลงสวนมะลิกลับควบคุมสมาธิมั่นและปักหลักรออย่างไม่พรั่นพรึง พอพระเดชพระคุณผลีผลามเข้ามาได้ระยะเอื้อมตีนถึง บาทาข้างขวาก็ยันสกัดออกไปเต็มแรง
ตั้บ...... พื้นเกือกหนาเตอ กระทุ้งเข้ากลางอกเต็มบาทเต็มใบ เซียนสนุ้กเกอร์ถึงกับกระดอนกลับยังกะหมูวิ่งชนตึก ร่างสูงแกร่งหมุนเปะปะรูดไปตามขอบชิ่งและป่ายมือสะดุดเข้ากับคิวที่วางทิ้ง ไว้พอดิบพอดี พี่แกตะปบด้ามคิว หมุนตัวหันกลับและฟาดมันลงขอบโต๊ะเปรี้ยงสนั่น คิวเลานั้นหักสะบั้นเป็นสองท่อนในพริบตา บรรดานักนิยมแทงลูกกลมๆ หลากสีที่หยุดเล่นกะทันหันทุกโต๊ะ และกระจายวงมุงดูอยู่ห่างๆ ประสานเสียงครางฮือฮาด้วยความเสียวสยอว เพราะนาทีนี้ ส่วนโคนของไม้คิวยาวศอกเศษที่กำติดมือเซียนหลอ หักในลักษณะเฉียงปลายแหลมเฉียบน่าพรั่นเหลือประมาณ
24. ดำ แม้นศรี ซึ่งผ่านประสบการณ์ตีรันฟันแทงทำนองนี้มานักต่อนัก ไม่ได้แสดงทีท่าสะทกสะท้านหวาดไหวอันใดเลย เขายังคงยืนตรึงตัวสงบนิ่งอยู่ข้างชิ่งค่อนไปทางหัวโต๊ะบิลเลียดที่เดิม ตาคมกริบคอยจ้องจับอาการเคลื่อนไหวทุกกระดิกของคู่ต่อสู่ ซึ่งกำคิวหักปลายแหลมกระชับมั่น เหล่านักสาวคิวซึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นไทยมุงยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ต่างสงบปากคำเงียบกริบ ทุกคนเพ่งจ้องอย่างไม่ยอมกระพริบตา และแทบจะลืมหายใจกันไปทั้งเทือก แล้วครางฮือ เมื่อไอ้หลอยันตัวพุ่งปราดจากท้ายโต๊ะ โผนเข้าแทงอย่างดุดัน เสี้ยววินาทีเดียวกับที่มันขยับไหว มือขวาของนักเลงสวนมะลิที่รอจังหวะอยู่ก็ทิ้งลงบนพื้นสักหลาดปูโต๊ะ แล้วสะบัดเหวี่ยงขวับ สีขาวของวัตถุหนึ่ง ผ่านสายตาเพียงแว่บเดียว
โป๊ก......
"โอ๊ยย์....." ลูกบิลเลียดสีขาวที่หนุ่มเปรียวฉกขึ้นมาจากโต๊ะ ปลิวเข้าตรอกกลางหน้าผากเซียนสนุ้กเกอร์ดังถนัดชัดหูได้ยินกันทั่ว ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวดแผดเอ็ดอึง แม้จะไม่รุนแรงหนังหน่วงเต็มพิกัด เพราะช่วงจังหวะมันฉุกละหุกไม่ได้เหวี่ยงสุดเหนี่ยว เลือดแดงสะพรั่งก็ทะลักออกมาเปรอะเต็มหน้าผากนักต้มหมูในฉับพลัน ก็แตกซีขอรับ ท่านเจ้าคุณ ลูกเซลลูลอยด์แข็งกระด้างหล่นลงโขกพื้นคอนกรีตแกร่งอีกโป๊กบะเร่อ แล้วกลิ้งขลุกขลักไปตามเรื่องตามราวของมันขณะที่คนถือคิวหักซึ่งติดเบรก กะทันหัน ผงะเซซังถอยหลังในอาการมึนเซ่อสะลึมสะลือเหมือนล่อกัญชาเข้าไปทีละเจ็ดบ่อง รวด ดำ แม้นศรี ทะยานตามติดชนิดไม่ยอมทิ้งโอกาสทองให้ผ่านไปแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาที คิงท่อนโคนที่ปรปักษ์ยังกำง่อกแง่ก ถูกเขาตะปบกระชากด้วยมือขวา พร้อมทั้งป่ายตีนข้างเดียวกันยันตูมเข้ากลางอก
พลั่ก........ ร่างของเซียนสนุ้กเกอร์ซึ่งมีเลือดแดงเถือกเปรอะเต็มหน้า กระดอนไปกระแทกหลังกับผนังด้านท้ายโต๊ะอีกบึ้กสนั่น และโดยที่คิวหักเปลี่ยนมาอยู่ในมือหนุ่มเปรียวจากสวนมะลิ ซึ่งหากไอ้หลอทรุดลงกองตรงนั้นซะให้รู้แล้วรู้แร่ด มันอาจจะไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวมากนัก แต่นี่พระเดชพระคุณกระเด้งเซซวนกลับออกมาทั้งที่มึนเคไม่รู้ทิศ ก็เลยต้องรับด้ามคิวที่ตวัดส่วนโคนฟาดสวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผัวะ....... ไม้เนื้อแข็งซึ่งถ่วงตะกั่วเพิ่มน้ำหนักไว้ข้างใน กระหน่ำเข้าตรงเหนือกกหูและโหนกแก้มซ้ายจังเบอร์ เลือดกระเซ็นพร่างอยู่ในแสงฟลูออเรสเซ่นท์สเดย์ไลท์กระจ่างโพลน มันเป็นเลือดทั้งจากหน้าผากและโหนกแก้มซ้าย ที่เปิดแผลใหม่แบะอ้า คนฟันหลอถึงกับหน้าสะบัดกางขาวามือหมุนคว้าง หมุนมารับไม้สองที่ตวัดเลยขึ้นสูง และเหนี่ยวกลับเฉียงลงอย่างไม่ยั้งแรง
โผะ......... จวกเข้าเหนือขมับขวาดังชวนเสียวไปถึงแก่นกระโหลก เลือดกระฉูดเช่นเคย เซียนสนุ้กเก้อร์หัวปักกลับมาทางซ้ายก่อนจะทรุดยวบลงไปนอนหงายแผ่กับพื้น ชิดผนังด้านท้ายโต๊ะ หนุ่มแสบจากสวนมะลิเหวี่ยงไม้ทิ้ง ถลันเข้าไปเงื้อเท้าหมายกระทืบให้จนเกือก แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นคู่กรณีนอนหลับตาแน่นิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย แม่นแล้ว ถอดจิตไปเรียบร้อยโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งทำสมาธิวิปัสสนาให้ยุ่งยากมาก เรื่อง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำร้ายคนไม่รู้สึกรู้สม
"ริบเดิมพันแม่งง์ดีกว่าวะ" ดำ แม้นศรี แค่นคำรามดุๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงตั้งท่าจะล้วงกระเป๋าเสื้อไอ้หลอ แต่เพียงแค่ขยับ เสียงหนึ่งก็ตวาดเกรี้ยวขึ้นทางเบื้องหลังอย่างปัจจุบันทันด่วน
"อย่านะ" นักเลงสวนมะลิชะงักมือที่เอื้อมไปแตะกระเป๋าเสื้อเซียนสนุ้กเกอร์ ทั้งๆ ที่จำเสียงได้แม่นยำว่าคนห้ามไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งสืบเท้านำหน้าคู่ซี้ชื่อเดียวกันเข้ามาหยุดยืนข้างหลัง เขาค่อยๆ หดมือกลับ เอี้ยวตัวหันไปแหงะหน้ามองเจ้าของเสียงพลางขมวดคิ้วคลางแคลง
"ทำไมล่ะ?" ขาใหญ่บางลำภูแฉลบตาชาเย็นมองไอ้หลอแว่บหนึ่ง ก่อนแจกแจงเสียงขรึม
"ถ้าเอ็งแตะต้องเงินแม้แต่สลึงเดียว งานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องทะเลอะวิวาทตีกันหัวร้างข้างแตกหรือทำร้ายร่างกายฎ
"หมายความว่า......."
"มันจะกลายเป็นชิงทรัพย์ และถ้านับรวมข้ากะปุ๊เจิดเข้าไปด้วยก็ต้องเจอข้อหาปล้น"
"เฮ้ย......."
"พวกเราจะเป็นโจรไปทันที และก็ต้องถูกตำรวจตามล่าอย่างจริงจัง เอ็งจะเอาหยั่งงั้นรึ?"
"ไม่อาวดีกว่า" ดำ แม้นศรี ยิ้มจืดเจื่อนส่ายหน้าช้าๆ ยันตัวยืนขึ้นขณะที่นักบู๊ตรอกสาเกร้องบอกบรรดาไทยมุง
"ไอ้หลอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ช่วยบอกมันด้วยว่าไอ้วิธีการปลอดตัวเป็นหมูเดิน สายไปหลอก แดกต่างถิ่นนะให้เลิกซะ ไม่งั้นจะเจ็บตัวหนักยิ่งกว่านี้" จบคำ เขาหมุนตัวก้าวนำสองขุนรบคู่บารมีแหวกกลุ่มนักสาวคิวออกจากก้นโรงบิลเลียด
"คือว่า.......ฉัน.......ฉัน......."
"เอางี้ ถ้าเฮียอยากจะเปิดโต๊ะทำมาค้าขายตามปกติ ไม่มีใครมาก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ทีหลังก็วางหูซะ" แคชเชียร์ประจำโต๊ะสนุ้กฯ ถอนใจแผ่วลนลานเกี่ยวกระบอกโทรศัพท์กับขอแขวนด้านข้างเครื่อง แล้วหันมาแยกเขี้ยวยิ้มแห้งๆ โชว์ฟันเหลืองอ๋อยแซมทองแถวบนสองซี่ ข้าใหญ่บางลำภูผงกศรีษะเนิบช้า
"ดี พวกผมแค่มาคิดบัญชีกับไอ้หลอเท่านั้นเอง ไม่ได้อาละวาดระรานคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือทำลายข้าวของอะไรบนนี้เลย เพราะฉะนั้น.......อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่" อาเฮียพยักหน้า "แฮ่ะ คับ"
"ไม่แจ้งตำรวจแน่นะ......?"
"ไม่คับ ไม่เหล็กขาก เอ๊ย......เด็ดขาด" จิ้งจอกอันตรายหัวโจกใหญ่ ควักเงินสามบาทสืบเท้าไปวางแปะลงบนโต๊ะที่เคยนั่งเป็นค่าน้ำส้มสามขวดแล้ว เลิกคิ้วถาม "เฮียเห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนทำไม้คิวหัก?"
ฝ่ายนั้นรีบพยักหน้ารับ "เห็นซี ไอ้หลอมันจับฟาดกะขอบชิ่ง"
"แบบนี้ เงินค่าคิวจะเก็บที่ใคร?"
"ก็ไอ้หลอ อีเป็นคนทำหัก"
"แปลว่าพวกผมไม่มีอะไรติดค้าง...?"
"ไม่มี ไม่มีเลย ค่าน้ำขวดนายก็จ่ายนี่นา"
"งั้นผมกลับละ โชคดีเฮีย" เอ่ยจบ ปุ๊ ระเบิดขวด ไหวตัวเดินนำพรรคพวกเลยไปก้าวลงบันไดหายลับ อาเฮียสาวเท้าไปหยิบค่าน้ำส้มหย่อนลงไถ้ข้างเอว เหลือบมองโทรศัพท์แล้วยักไหล่พรืด ถึงตรงนี้ ตะแกไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแน่นอน
ลงจากโต๊ะบิลเลียดหลังตลาดประตูน้ำ สามหนุ่มอันตรายเดินทะลุออกด้านถนนราชปรารภเลี้ยวขวาตัดผ่านสี่แยก ข้ามสะพานเฉลิมโลกไปอีกนิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้าศูนย์การค้าราชประสงค์ เปล่าดอก จุดหมายไม่ได้อยู่ที่สถานโบว์ลิ่งละไมและมีรสนิยมวิไลกว่าเพื่อน เสนอความคิดเห็นว่าควรจะไปนั่งรับแอร์เย็นๆ สบายผิวท
ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งขยับท่าจะจี้ตามเข้าขยี้ปรปักษ์ ต้องชะงักเท้าหยุดกึก ก็มีดในมือพระเดชพระคุณ ไม่ใช่อีดาบพลาสติกของเด็กเล่นนี่ขอรับ "เหล็กทั้งแท่ง" เจ้าถิ่นหลังวัดมะกอกซึ่งมีเลือดกบปากแดงเถือก จ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาวาวจ้าบอกความโกรธแค้นสุดขีด เคี้ยวกรามกร้ามสนั่นแล้วโผนเข้าแทงหมายเสียบให้จมมีด ขาไฮโลที่กระจายออกไปยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ครางฮือฮาแทบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ก็เท่านั้น นักสู้จากฝั่งธนฯ ซึ่งโชกโชนด้วยประสบการณ์และความเจนจัด เพียงแค่พลิ้วฉากหลบออกทางขวา ปลายแหลมเฉียบจของมีดสั้นก็กรีดอากาศว่างเปล่าผ่านหน้าท้องไปในระยะห่าง ร่วมสองคืบ ซึ่งแน่ละ เมื่อแทงพลาดเป้าเจ้าจองมีดก็ต้องคะมำถลาตามอย่างช่วยไม่ได้ และก็คะมำเข้ารับแข้งซ้ายที่จอมกรี๊ดดีดสวนช้อนขึ้นเต็มแรง พลั่ก......
"อั่กก์........" แข้งแข็งๆ กระหน่ำยอดอกดังหนักแน่นดีพิลึก แรงบวกทำเอาวัยรุ่นเจ้าถิ่นซึ่งหลุดเสียงสำลักสั้นๆ ออกมาแค่ครึ่งคำ ถึงกับกระเด้งกระดอนถอยกลับ ลากก้าวเซสะเปะสะปะเหมือนลิงเมากะแช่ จอมดีเดือดแห่งวงเวียนเล็กขยับจะฉกมือขวาเข้าหามีดคู่กายที่พกพาซุกซ่อนติด ตัว มันเป็นจังหวะเดียวกับที่นักบู๊ตรอกสาเกแผดตะโกนลั่น
"ปุ๊ ไม้" เขาชะงัก และแฉลบหางตามองเครื่องทุ่นแรงที่เพื่อนโยนลอยโด่งเข้ามามือขวาจึงเปลี่ยน เป็นฉวัดขึ้นรับอย่างคล่องแคล่ว ปรากฎว่ามันเป็นระแนงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณนิ้วครึ่งยาวหวิดสองศอก ไม่ใช่ไม้ใหญ่โตอะไรนัก แต่หากใช้ให้เป็น มันก็สามารถสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดได้ไม่น้อย ที่แน่ๆก็คือมันได้เปรียบตรงความยาว พอได้อาวุธ ปุ๊ กรุงเกษม ก็กระชับไม้ในลักษณะเฉียงปลายขวางขึ้นเหนือไหล่ซ้าย และเป็นฝ่ายย่างรุกเข้าหาอย่างกระเหี้ยนกระหือ และแทนที่จะถอยหรือหลบเลี่ยงเมื่อฝ่ายตรงข้ามโถมแทง เขากลับตีตวัดในรูปแบ๊คแฮนด์ฟาดสกัดตรงๆชนิดแลกกันให้รู้ดีรู้ชั่ว
โผะ..... ไม้เนื้อแข็งท่อนเล็กหวดเข้าตรงขมับขวาเต็มเงี่ยงเต็มงา เลือดข้นคลั่กทะลักพรวด เพราะเหลี่ยมไม้เปิดแผลแบะอ้ายาวไม่ต่ำกว่าห้าเข็มเย็บ อ๊อด สวนเงิน ซึ่งเหยียดปลายมีดอยู่ห่างแผงอกคู่ต่อสู้ร่วมศอกถึงกับหัวทิ่มเอียงไปทาง ซ้ายอย่างไม่เป็นองค์ กระนั้น มือขวาก็ยังไม่ปล่อยอาวุธ แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อเจ้าตัวอยู่ในสภาพมึนเคแทบไม่รู้ทิศ ไม่มีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวหรือแม้แต่หลบเลี่ยงด้วยซ้ำ ไม้ระแนงที่นักสู้ต่างถิ่นตีตวัดกลับ เหวี่ยงช้อนจากล่างขึ้นบนจึงไม่พลาดเป้า
โผะ........ มันจวกเข้าตรงโหนกแก้มซ้ายเต็มรัก เลือดกระฉูดอีกเช่นเคย ไม้ดุ้นเล็กถึงกลับหักสะบั้นเป็นสองท่อนขณะที่คนถูกตีหมุนคว้างไปหวิดสองรอบ แล้วคว่ำ ลงตะครุบกบแอ่นอกตบพื้นอีกป้าบบะเร่อ แต่เจ้าถิ่นวัดมะกอกก็ทนทรหดเหลือกำลังลาก เจอเข้าไปหนักๆ ขนาดนั้น พี่แกยังอุตส่าห์ยักแย่ยักยันพยุงตัวขึ้นคลานสี่ขาส่ายหัวง่อกแง่กโดยที่มือ ขวายังกำด้ามมีดไว้มั่นคง ไอ้รุ่นแสบจากฝั่งธนฯ เหวี่ยงไม้ทิ้ง โจนผึงเข้าไปเงื้อตืนขวากระทืบโครมลงบนหลังมือข้างนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย
"อ๊ากก์........" อ๊อด สวนเงิน แยกเขี้ยวเบี้ยวปากร้องลั่นมือที่กำมีเหยียดนิ้งทั้งห้ากางพรึ่บ ก่อนที่ตีนหุ้มเกือกข้างเดิมจะดีดช้อนเข้าใต้คางเต็มเหนี่ยว
กร๊วบ...... ร่างที่อยู่ในท่าคลานสี่ขา กระตุกสะท้านขึ้นทั้งตัวและพลิกหงายตึง แน่นิ่งสนิทไปทันใด
ผลงานชิ้นแรกของปุ๊ กรุงเกษม ที่ถล่มหนุ่มซ่าประจำซอยสวนเงินซะอ่วมอรทัยคาถิ่นหลังวัดมะกอก ทำให้ดาวดังตรอกสาเกชื่นชอบและเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่าตัวเองเลือกบัดดี้ไม่ผิด หลังจากนั้น เขาก็พาคู่ซี้คนใหม่ออกเดินสายอาละวาดฟาดงวงฟาดงาเป็นว่าเล่น ปุ๊ ระเบิดขวด เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น และคอยหมกมุ่นอาฆาตมาดร้ายอยู่ร่ำไป ใครทำให้ขุ่นเคืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เจตนาหรือไม่ก็ตาม พ่อจดเข้าบัญชีไว้หมด คู่กรณีที่ "ค้างชำระ" รอปฏิบัติการจองเวรจึงมีมากมายทุกหัวระแหง ซึ่งขาใหญ่บางลำภูก็จะควงคู่ตัวแสบแห่งย่านฝั่งธนฯ พาสมัครพรรคพวกตระเวรเก็บต้นทบดอกไปตามตรอกซอย อันเป็นถิ่นฐานของฝ่ายตรงข้ามแทบไม่เว้นแต่ละวัน และโดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะลงมือเอง ส่วนใหญ่จะสะกิดบั๊ดดี้ออกหน้าเสมอ เว้นไว้เสียแต่ว่าบังเอิญโคจรไปเจอกลุ่มของแดง ไบร์เลย์ ซึ่งนักสู้จากวงเวียนเล็กจะไม่แตะต้อง เพราะจะอย่างไร เขาก็ยังยึดมั่นว่าแดงคือเพื่อน นั่นแหละ ปุ๊ ระเบิดขวด ถึงจะออกโรงแสดงบทบาทก่อกวนระรานและข่มเหงรังแกบริวารของคู่แค้น สองหนุ่มอันตรายเดินเคียงไหล่สร้างความปั่นป่วนในยุทธจักรวัยรุ่นชั่วระยะ หนึ่ง โหล แม้นศรี เพื่อนร่วมแก๊งระดับขุนรบ ก็พาสมาชิกใหม่มาแนะนำตัวเพื่อที่จะให้เดินลุยด้วยกัน คนๆนั้น เป็นหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างสูงเพรียวลักษณะท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียวฉับไว ชื่อ ดำ แม้นศรี นักบู๊ตรอกสาเก ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจของดำมาก่อนหน้านี้พอสมควรเขาจึงไม่ลังเลที่จะ อ้าแขนรับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการทดสอบพิสูจน์คุณภาพให้ประจักษ์แจ้งแก่ตา ซึ่งวันเวลาทดสอบก็มาถึงไม่ช้านัก
ช่วงปีพุทธศักราช 2504 ย่านราชประสงค์ทั้งทางด้านถนนเพลินจิตและราชดำริยังไม่สะพรั่งไปด้วยตึกราม ทันสมัยใหญ่โตโอ่อ่าสูงลิ่วระฟ้าเหมือนปัจจุบัน อาคารร้านค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงตึกแถวธรรมดาๆ สูงแค่สองสามชั้น แบ่งซอยเป็นบล๊อคๆและมีตรอกเล็กซอยน้อยเชื่อมทะลุถึงกันตลอด แต่ราชประสงค์ก็เรียกได้ว่าเป็นย่านของความเจริญฟูเฟื่องเต็มที่และมีระดับ พรั่งพร้อมไปด้วยห้างร้านขายของสารพัดสารพันซึ่งล้วนแต่ชั้นดีราคาแพงไว้ ต้อนรับลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ และที่ขาดไม่ได้ ต้องมีควบคู่กันไปก็คือสถานบันเทิงหลากหลายรูปแบบ โรงโบว์ลิ่งซึ่งเปิดเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวที่ถนนเกษรในย่านราชประสงค์ ก็เป็นแหล่งบันเทิงที่ขึ้นหน้าขึ้นตามไม่น้อย สมัยนั้น โบว์ลิ่งเป็นกีฬาในร่มที่ยังใหม่เอี่ยมสำหรับเมืองไทย นิยมกันในหมู่ผู้ลากมากดีและพวกหัวสมัยใหม่ไฮโซ รวมทั้งคนที่พยายามทำตัวให้ทันสมัย ซึ่งกลุ่มหลัง ก็มีบรรดาวัยรุ่นที่กำลังเติบโตใกล้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรวมอยู่ด้วย ถ้าใครต้องการเท่ห์เก๋ไก๋ ดูดีมีระดับ ก็มักจะไปเดินเตร็ดเตร่เต๊ะจุ๊ย ฉุยฉายชมสินค้าร้านรวงแถวราชประสงค์ แวะนั่งวางมาดสั่งอาหารฝรั่งในร้านลิตเติ้ลโฮม เบเกอรี่ หรือไม่ก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งทั้งๆที่เล่นไม่เป็น แค่ไปดูเขาเล่นก็โก้แล้วว่ะ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างซ้ายขวา ดำ แม้นศรี กับ ปุ๊ กรุงเกษม ก็เช่นกัน หลังจากเดินทอดหุ่ยดูร้านรวงและสาวๆ ในย่านราชประสงค์ตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบสองทุ่ม ทั้งสามหนุ่มก็เลี้ยวเข้าโรงโบว์ลิ่งตามฟอร์ม ภายในซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเย็นสบายผิวดำลังคึกคักด้วยเหล่านักโยนลูก เซลลูลอยด์ ซึ่งยึดครองทุกเลนเต็มไปหมด เสียงตะโกนยั่วเย้า เสียงสรวลเสเฮฮา เสียงปรบมือให้คนทำสไตร๊ค์ เสียงลูกโบว์ลิ่งวิ่งตอกพินระเบิดกระจาย และเสียงโยนลูกวิ่งตึงตังเป่ลงรางเพราะมือยังอ่อนหัด ดังคละเคล้าประสานกันแซ่แซ่วกึงกังโครมครามอยู่ไม่ขาดระยะ สามตัวแสบเลือกนั่งโต๊ะว่างที่จัดวางๆไว้เป็นสัดส่วนต่างหากทางด้านหัวเลน สั่งเบียร์และน้ำส้มคั้นสำหรับนักบู๊ตรอกสาเก ซึ่งไม่ค่อยจะพิสมัยรสชาติของแอลกอฮอล์ล พอของที่ต้องการมาถึง จอมกรี๊ดแห่งวงเวียนเล็กเพิ่งรินเบียร์จิบได้อึกเดียว เจ้าถิ่นบางลำภูก็สะกิดผู้ติดตามคนใหม่พลางบอกเสียงเคร่ง
"เอ็งมีงานแล้ว ไอ้ดำ" หนุ่มเปรี้ยวะเจ้าของฉายา ดำ แม้นศรี ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ชะงักมือที่ดำขวดตั้งท่าจะรินลงแก้ว เหลือบมองนักบู๊ตรอกสาเกพลางกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น
"งานอะไร"
"กระทืบคน"
"ไหนล่ะ?"
"รินเบียร์ให้เรียบร้อยซะก่อน" ดำปฏิบัติตามคำบอก และวางขวดลงพร้อมกับเสียงถามของหัวโจก
"เห็นไอ้คนใส่เสื้อสีน้ำเงินลายจุดขาวที่เล่นอยู่เลนห้ามั้ย?" เขาเหลือบมองแว่บเดียวแล้วผงกศรีษะ
"เห็น หมอนั่นไม่ได้ลงเล่นนี่ นั่งดูเพื่ออีกสองคนมากกว่า"
"นั่นแหละ ปกติมันเดินอยู่ในกลุ่มพวกไอ้แดง"
"เรอะ งั้นก็ศัตรูของเรา"
"ใช่ เอ็งจัดการได้เลย"
"เพื่อนมันสองคนล่ะ?"
"ไม่เกี่ยว" หนุ่มเปรียวยกแก้วขึ้นกรอกเมรัยลงคอเต็มอึก แล้วแค่นเสียงเกรียม
"ถ้าไอ้คู่นั้นจะเกี่ยวด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร"
"เอ็งฉายเดี่ยวนะ"
"เออน่ะ เรื่องเล็ก" จบคำ เขาวางแก้วลงขณะเดียวกับที่เป้าหมายลุกจากโต๊ะหัวเลนที่ 5 จ้ำดิ้งไปยังห้องสุขาสำหรับบุรุษเพศ ดำ แม้นศรี จิบเบียร์อีกอึกแล้วลุกขึ้น ก้าวตัดข้ามโถงกว้างโล่งตามไปอย่างไม่โอ้เอ้ ไอ้นี่ใจเร็วชะมัด ปุ๊ ระเบิดขวด พึมพำด้วยน้ำเสียงชื่นชอบ สบตามคู่หูชื่อเดียวกันพลางพยักหน้าช้าๆ ก่อนเรียกบริกรมาเก็บเงิน เพราะหากต้องเผ่นหนีกะทันหัน จะได้ไม่มีบ๋อยหรือคนของที่นี่คอยสกัดขัดขวางหรือไล่ตามให้ยุ่งยากมากเรื่อง
หนุ่มรุ่นใส่เสื้อเชิ้ตคอตั้งสีน้ำเงินลายจุดขาว เพิ่งเสร็จธุระรูดซิฟกางเกงหมุนตัวผละจากโถปัสสาวะที่เรียงรายกันเป็นแผงใน ห้องน้ำชายกว้างขวางสะอาดสะอ้านซึ่งบังเอิญปลอดคน เสียงสรวลเสเฮฮาและเสียงตึงตังโครมครามเบื้องนอกยังได้ยินแว่วๆ ไม่ขาดระยะตามธรรมดาของโรงโบว์ลิ่ง เขาสืบเท้าไปล้างมือในอ่างเคลือบหน้ากระจกเงา แฉลบหางตามองคนที่ก้าวตามเข้ามาใหม่อย่างไม่ใส่ใจ แน่ละคนๆนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี ซึ่งแทนที่จะเลี้ยวไปหาโถปัสสาวะหรือโถส้วมตามปกติของคนเข้าห้องน้ำ เขากลับตรงรี่มาหาหนุ่มสำอางที่ยืนเอียงซ้ายขวา สำรวจทรงผมสไตล์เอลวิสอยู่หน้ากระจกบานใหญ่พอถึงตัวก็ยกมือผลักไหล่โดยไม่ พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา
"อ๊ะ......." หนุ่มเสื้อลายหลุดอุทานตื่นๆ เซถลาไปตามแรงผลักสองสามก้าว ก่อนจะหันขวับมากระชากเสียงเดือดดาลระคนงุนงง
"นี่มันอะไรกันวะ?" ตัวแสบจากย่านสวนมะลิ ไม่โต้ตอบหรือแม้แต่ปริปากเอ่ยคำใดออกมา เขาสะอึกเข้าประชิดจ้วงด้วยอีขวาเต็มเหนี่ยว
"ฉาด........." กำปั้นแข็งกระด้างตะบันซอกกรามซ้าย ดังแสบสะท้านอยู่ในบริเวณห้องอับทึบ วัยรุ่นเสื้อลายซึ่งไม่ทันได้ระมัดระวังตั้งรับการจู่โจมถึงกับหน้าสะบัด ิเริ่ด เซแซ่ดๆไปกระแทกหลังไหล่กับผนังคอรกรีตอีกพลั่กสนั่น หมอเด้งตัวออกมาป่ายตีนถีบสกัดเปะปะตามมีตามเกิดเมื่อปรปักษ์ถลันเข้าซ้ำ แต่มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดำ แม้นศรี แค่ปัดนิดเดียว อาวุธยาวของฝ่ายตรงข้ามก็เบนวืดออกข้าง พริบตาติดต่อกัน แขนซ้ายของเขาก็พับศอกขวิดสวนสุดแรงเรียม
โฉะ..........
23. เสียงดังราวกับทุบไม้ผุด้วยสันขวาน เมื่อศอกดุ้นนั้นจวกเข้าบริเวณปากครึ่งจมูกครึ่งรุนแรงเหลือรับ คนเจอศอกร้องอู้ฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ ผงะถอยสะบัดท้ายทอยโขกผนังอีกตึงบะเร่อ ทั้งปากและจมูก แดงเถือกไปด้วยเลือดข้นคลั่กที่ทะลักทะลายไหลเปรอะ ดำ แม้นศรี ฉากถอยหลังเล็กน้อยหมายถล่มด้วยแข้งให้จอดคาคอก แต่ก็ต้องชะงัก ขนทั่วร่างลุกเกรียว เพิ่งเห็นถนัดชัดตาเอาตอนนี้เอง ว่าคู่ต่อสู้กระตุกมีดสั้นจากที่ซ่อนออกมากำอยู่ในมือขวาตั้งแต่เมื่อไหล่ ไม่รู้ นั่นหมายถึงว่าถ้าเขาถอยช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาทีไม่แผ่นอกก็หน้าท้อง ต้องกลายเป็นฝักมีดแน่นอน ทว่า พอเด้งห่างออกมาเกินเอื้อม เหล็กแหลมเล่มนั้นก็ไร้ความหมายเนื่องจากมันกำด้วยมือที่สั่นระริก เจ้าของมีดก็ยืนเซซังสะลึมสะลือตาลอยคว้างด้วยพิษหมัดบวกศอกที่เจอเข้าเต็มๆ ทั้งสองขนาน และเสือกมีดแทงแกว่งเปะปะอย่างหมดสภาพที่จะต่อสู้ เมื่อเขาสืบเท้าโฉบเข้าหา เสือดาวเปรียวจากสวนมะลิเพียงแต่เบี่ยงตัวนิดเดียวก็หลบพ้น และสะบัดแขนฟาดข้อมือที่กำอาวุธทันควัน ผัวะ........
"โอย......" ฝ่ายตรงข้ามหลุดเสียงครางแหบแห้ง มีดหลุดจากมือร่วงผล็อย ก่อนถูกรวบคอกระชากคะมำลงรับเข่า ที่กระทุ้งเสยสวนขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสียงเข่าทั้งซ้ายขวากระแทกเป้ารุนแรงหนักหน่วง ดังบึกบักผัวะผะซ้ำซ้อนกันไม่กี่ที วัยรุ่นเสื้อลายก็รูดลงไปนอนหงายครึ่งตะแคงแน่นิ่งโดยมีเลือดเปรอะเต็มหน้า กระนั้นก็ยังไม่สะใจไอ้หนุ่มอันตรายซึ่งกำลังบ้าดีเดือด เขาใช้มือซ้ายค้ำคอคู่ต่อสู้ มือขวาฉวยมีดที่หล่นเค้เก้อยู่กับพื้นเงือดเงื้อขึ้นสุดล้า เพียงชั่วพริบตาก่อนจะทันได้ปักมีดลง มือแข็งแรงก็ตะปบแขนขวากำไว้มั่น ดำ แม้นศรี หันขวับไปแหงะหน้ามองอย่างตื่นตระหนกแล้วถอนใจพรวด เมื่อได้พบว่าเจ้าของมือ คือ ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งเคียงข้างด้วยคู่ซี้ ปุ๊ กรุงเกษม
"พอที........" ขาใหญ่บางลำภูทิ้งเสียงหนัก "เกือบไปแล้วไหมล่ะ นี่ถ้าข้าไม่ตามเข้ามา เอ็งก็ฆ่าคนตายซีวะ" หนุ่มแสบจากสวนมะลิคลายมือทิ้งมีดแล้วว่าเสียงอ่อย
"มันโมโหจนลืมตัว ก็ไอ้เวรนี่เสือกชักมีดออกมาจะแทงข้าก่อน"
"รู้จักยับยั้งชั่งใจมั่งซี....." หัวโจกเอ่ยเตือนสติและปล่อยแขนคนเลือดร้อนเป็นอิสระ "เรื่องแค่นี้มันไม่ถึงกับต้องฆ่า เอาละ รีบไปกันเถอะ"
"เดี๋ยว ปล่อยมันนอนอยู่หยั่งงี้คงไม่เหมาะนัก" เอ่ยจบ ดำ แม้นศรี จัดแจงลากร่างอ่อนปวกเปียกเข้าไปนั่งซุกคอพับข้างโถชักโครกในห้องส้วม ดึงประตูปิดโดยไม่ลืมล็อคลูกบิดไว้อีกชั้นหนึ่งก่อนเก็บมีดโยนลงถังขยะ และแล้ว สามหนุ่มอันตรายก็เอ้อระเหยลอยชายออกจากโรงโบว์ลิ่งอย่างสะดวกโยธิน
ในกระบวนเด็กหนุ่มกวนเมืองระดับแถวหน้า ปุ๊ ระเบิดขวด นับได้ว่าเป็นตัวร้ายกาจสุดยอด เขามีทั้งความกลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบายประสบการณ์โชกโชนเจนจัดไม่ว่าจะใน ด้านใช้กำลังความรุนแรง หรือแง่มุมที่จะพลิกพลิ้วหลีกเลี่ยงตัวบทกฎหมาย วาทศิลป์ลิ้นลมอันคมคายสามารถโน้มน้าวใครต่อใครให้คล้อยตามได้ไม่ยาก ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ ดำ แม้นศรี จึงให้ความยกย่องนับถือ และเชื่อฟังในแทบจะทุกกรณี เขาพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ ตามแต่ปุ๊จะบัญชาไม่ว่าจะให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ขณะเดียวกัน พฤติกรรมห่ามเหี้ยมของหนุ่มห้างจากสวนมะลิ ซึ่งแสดงให้เห็นในสถานโบว์ลิ่งถนนเกษรก็เป็นที่สบอารมณ์ขาใหญ่บางลำภูยิ่ง นัก เพราะดำไม่เพียงแต่จะดุดันเฉียบขาดปราดเปรียวฉับไวใส่เต็มเกียร์ชนิดถึงลูก ถึงคน เขายังตัดสินใจรวดเร็ว กล้าที่จะลงมือทำร้ายใครก็ได้โดยไม่รีรอลังเล และไม่เลือกว่าสูเจ้าจะเป็นเทวดาองค์ใด ขอให้ลูกพี่สั่งมาเถอะ ซึ่งนี่แหละ แบบฉบับของตัวชนที่นักบู๊ตรอกสาเกต้องการไว้เป็นหัวหอกลุยศึก แต่แม้จะ "ทดสอบ" คุณภาพเป็นที่พอใจระดับหนึ่งแล้ว จิ้งจอกอันตรายอย่างปุ๊ ระเบิดขวดก็ยังไม่วายลองของ เมื่อพาสองหนุ่มแสบคู่ใจตระเวนหาเรื่องรายวัน ขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารด้านหลังตลาดประตูน้ำในตอนหัวค่ำวันต่อมา ที่นั่น เป็นโรงบิลเลียดหรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่าสนุ้กเกอร์ คลับ ช่วงเวลานั้น โต๊ะมาตรฐานขนาดสิบสองฟุตปูสักหลาดสีเขียวสดใสทั้งห้าตัว ซึ่งตั้งรายเรียงกันเข้าไปตามความลึกของห้อง ไม่มีว่างเลย ทุกโต๊ะแวดล้อมด้วยนักเลงสนุ้กเกอร์ ที่ตั้งหน้าตั้งตาบรรเลงเพลงคิวเชือดเฉือนกันสุดฤทธิ์สุดเดช แถมยังมีพวกที่นั่งรอชูคอสลอนอยู่บนม้ายาว ชิดผนังด้านข้างอีกต่างหาก ท่ามกลางเสียงตะโกนพูดคุยเย้าหยอกกันเสียงตบมือตีตีนหัวเราะชอบใจ เสียงสบถด่าหยาบคายเมื่อตบพลาดหลุม และเสียงกระแทกหัวคิววิ่งตอกลูกสีก๊อกแก๊กเกรียวกราว ที่ดังคละเคล้าปนเปกันอยู่ตลอดเวลา สามจอมป่วนกวาดตามองไปรอบๆแว่บหนึ่ง แล้วจ่อมก้นลงนั่งล้อมโต๊ะตัวย่อมหน้าคอกขายของซึ่งมีทั้งน้ำอัดลม เหล้า เบียร์และบุหรี่พร้อมสรรพ คนขายก็คือหนุ่มใหญ่เชื้อจีนร่างเล็กผอมกระหร่อง ผู้ดูแลโต๊ะสนุ้กฯ นั่นเอง พี่แกรับเหมาทั้งหน้าที่แคชเชียร์เก็บเงินค่าเกม เจ้าของร้านเครื่องดื่มและคนขายคนเสิร์ฟทุกตำแหน่ง เผลอๆ ยังแบ่งภาคไปเป็นมาร์คเก้อร์ตั้งลูกสนุ้กฯ หากอยู่ในช่วงจังหวะว่าง เรียกว่าหยิบฉวยมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เขาใหญ่บางลำภูร้องสั่งน้ำส้มสามขวด ซึ่งก็ถูกยกมาตั้งให้โดยไม่ชักช้า จากนั้นก็เอ่ยถามก่อนที่คนเสิร์ฟจะผละไป "เฮีย วันนี้ไอ้หลอมารึเปล่า?" ชายร่างเล็กพยักหน้าหงึกและวาดมือชี้
"มา เล่นอยู่โต๊ะในสุดนู่นไง" นักบู๊ตรอกสาเกชะเง้อมองตาม
"คนไหน?"
"ก็ไอ้ที่หวีผมเป่ ฟันหน้าแถวบนหายไปซี่นึง สังเกตไม่ยากหรอก ลักษณะนี้ทั้งโต๊ะมีมันอยู่คนเดียวนายถามทำไมล่ะ?"
"พรรคพวกเขาบอกว่ามือมันเหนือชั้น"
"อ๋อ.....น้องๆเซียนเลยนะ ที่เห็นเล่นกันอยู่นั่นขนาดไอ้หลอต้องต่อแต้มให้คนละตั้งสิบห้าแดงก็ยังรับทรัพย์แทบทุกเกม"
"งั้นเรอะ"
"ไม่แน่จริงอย่าเผลอไปเล่นกะมันเชียวนาขอเตือนด้วยความหวังดี"
"ขอบคุณ รับรองไม่เผลอแน่เฮีย อย่างพวกผมถ้าจะเล่นต้องจงใจ คำท้าย ปุ๊ ระเบิดขวด เน้นเสียงเย็นลึก ตาดุกระด้างวาบประกายวาว และพอชายร่างกะหร่องก้าวผละเข้าหลังคอกขายเครื่องดื่ม ปุ๊ กรุงเกษม ก็เอ่ยขึ้นด้วยการใช้สรรพนามที่บอกถึงความสนิทชิดเชื้อ
"ข้าเชื่อว่าเอ็งคงไม่หมายถึงเล่นสนุ้ฯ" หนุ่มชื่อเดียวกันแค่นยิ้ม "เอ็งเข้าใจถูกต้อง ข้าหมายถึงเล่นคน"
"แน่นอน สามสี่วันก่อนมันปลอมตัวเป็นหมูเดินสายไปที่โต๊ะบำเพ็ญบุญ หลอกแดกไอ้เหลิมซะหมดตูดไม่เหลือกระทั่งค่ารถ"
ไอ้เหลิมไหน?"
"ไอ้เหลิม พรานนก" ดำ แม้นศรี เงบขวับขึ้นจากหลอดดูดที่เสียบปากขวดน้ำส้ม ตวัดเสียงสอดเบาๆ "พวกเรานี่หว่า" ขาใหญ่บางลำภูพยักหน้า "ใช่ ข้าได้ยินว่าไอ้เหลิมมักจะสิงสู่ประจำอยู่ที่นี่ เลยเตร่มาดูเผื่อจะเจอตัว ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง
"ตะกี้ เฮียเขาบอกว่ามันเล่นอยู่โต๊ะในสุด" นักบู๊ตรอกสาเก หรี่ตาเจ้าเล่ห์ตามสไตล์จิ้งจอกอันตรายขนานแท้พลางลากเสียง
"กะลังเคี้ยวหมูเพลินซะด้วย เอ็งช่วยออกแรงหน่อยนะ ข้ากะปุ๊เจิดจะคอยคุมเชิงระวังหลัง" หนุ่มเปรียวจากสวนมะลิยันตัวลุกพรวดทิ้งเสียงมาดมั่นไม่มีอาการลังเลแม้แต่ น้อยนิด
"ได้ ข้าจัดการเอง"
เด็กหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบรูปร่างสูงแกร่งท่าทางหลุกหลิกไว้ผมเป๋ปาดด้วย ตันโจ ติ๊คหวีเรีบบแปล้กระชับคิวสิบหกออนซ์สีนวลจำปาด้วยมาดทะมัดทะแมง ยืนเอียงคออยู่ตรงท้ายโต๊ะปูสักหลาดสีเขียว จับตามองลูกเซลลูลอยด์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองนิ้วที่เหลือเพียง น้ำเงิน ชมพู ดำ และขาวซึ่งกำลังวิ่งเอื่อยๆ ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง และพอขาวหยุดนิ่งตรงตำแหน่งที่สามารถตบน้ำเงินลงหลุมกลางแล้วฟอลโล่ว์ไปกิน ชมพูหลุมมุม และต่อด้วยดำลูกสุดท้ายได้สบายมือ หมอก็แยกเขี้ยวยิ้มร่า เผยให้เห็นฟันหน้าด้านบนที่แหว่งหายไปหนึ่งซี่
"หมดโต๊ะ......" คนฟันหลอร้องเสียงใสรื่นเหมือนจะเย้ยหยันแกมข่มขวัญคู่ต่อสู้อีกสองนายที่ ยืนกระพริบตาปริบๆ หมดอาลัยตายอยากอยู่ใกล้ๆกัน จากนั้นก็สาวเท้าเลาะข้างโต๊ะไปโน้มตัววางมือ จรดคิวจ่อขาวสาวเล็งอย่างบรรจง เพราะหากตบลูกนี้ลงหลุม แต้มของฝ่ายตรงข้ามทั้งสองหน่อจะขาดลอยทันที และนั่นหมายถึงชัยชนะซึ่งมีเงินพนันเป็นบำเหน็จ ทว่า ยังไม่ทันได้เสือกคิวกระทุ้งออกไป ลูกสีชมพูก็วิ่งจี๋มาตอกขาวเต็มรัก ก๊อก........ เซียนหลอสะดุ้งเฮือก พร้อมกับที่ลูกขาวและชมพูกระเด้งไปคนละทิศ เขาวางคิว เด้งตัวเงยขวับขึ้นถลึงตาวาวจ้าจ้องมองไปทางหัวโต๊ะอย่างเดือดดาล และก็ได้พบว่าหนุ่มผิวคล้ำนายหนึ่ง กำลังยืนแหมะข้างชิ่งใกล้ๆ กับตำแหน่งที่ชมพูเคยตั้ง ซึ่งบัดนี้พื้นสักหลาดสีเขียวบริเวณนั้นว่างเปล่า ขณะที่ลูกขาวค่อยๆ วิ่งเอื่อยอ่อยสวนเข้าไป หนุ่มนั้นไม่ใช่ใครอื่น ดำ แม้นศรี นักเลงสนุ้กเกอร์มือดี ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอดกราวก่อนกระชากเสียงเกรี้ยว
"นายใช่มั้ย ที่เหวี่ยงชมพูมาชนขาว?" อีกฝ่ายค้อมศรีษะเยือกเย็น
"ใช่"
"ทำแบบนี้หมายความว่าไง?"
"เราทนดูไม่ได้ที่เห็นนายเอาแต่หลอกแดกมืออ่อนกว่า บอกตรงๆว่าหมั่นไส้"
"ไอ้ห่ะ สองคนนี่เป็นเพื่อนนายเรอะ?" จอมต้มหมูเอะอะพลางสะบัดมือชี้เหยื่อดำสั่นหน้า ยักไหล่พรึด
"เปล่า ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ"
"อ้าว"
"รู้แต่ว่าถ้าขืนปล่อยให้เล่นกันต่อไป ไอ้คู่นี้มีหวังยับเยินแน่นอน"
"แล้วมันกงการอะไรของมึงวะ? ไอ้สัตว์กะหมา" หนุ่มฟันหลอระเบิดเสียงแผดด่าหยาบคายยันตัวพุ่งปราดเลาะข้างโต๊ะปรี่เข้าหา คนขัดจังหวะด้วยความโมโหโกรธสุดขีด แต่ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามโมโหหน้ามืดจนขาดสติ นักเลงสวนมะลิกลับควบคุมสมาธิมั่นและปักหลักรออย่างไม่พรั่นพรึง พอพระเดชพระคุณผลีผลามเข้ามาได้ระยะเอื้อมตีนถึง บาทาข้างขวาก็ยันสกัดออกไปเต็มแรง
ตั้บ...... พื้นเกือกหนาเตอ กระทุ้งเข้ากลางอกเต็มบาทเต็มใบ เซียนสนุ้กเกอร์ถึงกับกระดอนกลับยังกะหมูวิ่งชนตึก ร่างสูงแกร่งหมุนเปะปะรูดไปตามขอบชิ่งและป่ายมือสะดุดเข้ากับคิวที่วางทิ้ง ไว้พอดิบพอดี พี่แกตะปบด้ามคิว หมุนตัวหันกลับและฟาดมันลงขอบโต๊ะเปรี้ยงสนั่น คิวเลานั้นหักสะบั้นเป็นสองท่อนในพริบตา บรรดานักนิยมแทงลูกกลมๆ หลากสีที่หยุดเล่นกะทันหันทุกโต๊ะ และกระจายวงมุงดูอยู่ห่างๆ ประสานเสียงครางฮือฮาด้วยความเสียวสยอว เพราะนาทีนี้ ส่วนโคนของไม้คิวยาวศอกเศษที่กำติดมือเซียนหลอ หักในลักษณะเฉียงปลายแหลมเฉียบน่าพรั่นเหลือประมาณ
24. ดำ แม้นศรี ซึ่งผ่านประสบการณ์ตีรันฟันแทงทำนองนี้มานักต่อนัก ไม่ได้แสดงทีท่าสะทกสะท้านหวาดไหวอันใดเลย เขายังคงยืนตรึงตัวสงบนิ่งอยู่ข้างชิ่งค่อนไปทางหัวโต๊ะบิลเลียดที่เดิม ตาคมกริบคอยจ้องจับอาการเคลื่อนไหวทุกกระดิกของคู่ต่อสู่ ซึ่งกำคิวหักปลายแหลมกระชับมั่น เหล่านักสาวคิวซึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นไทยมุงยืนชะเง้อชะแง้อยู่ห่างๆ ต่างสงบปากคำเงียบกริบ ทุกคนเพ่งจ้องอย่างไม่ยอมกระพริบตา และแทบจะลืมหายใจกันไปทั้งเทือก แล้วครางฮือ เมื่อไอ้หลอยันตัวพุ่งปราดจากท้ายโต๊ะ โผนเข้าแทงอย่างดุดัน เสี้ยววินาทีเดียวกับที่มันขยับไหว มือขวาของนักเลงสวนมะลิที่รอจังหวะอยู่ก็ทิ้งลงบนพื้นสักหลาดปูโต๊ะ แล้วสะบัดเหวี่ยงขวับ สีขาวของวัตถุหนึ่ง ผ่านสายตาเพียงแว่บเดียว
โป๊ก......
"โอ๊ยย์....." ลูกบิลเลียดสีขาวที่หนุ่มเปรียวฉกขึ้นมาจากโต๊ะ ปลิวเข้าตรอกกลางหน้าผากเซียนสนุ้กเกอร์ดังถนัดชัดหูได้ยินกันทั่ว ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวดแผดเอ็ดอึง แม้จะไม่รุนแรงหนังหน่วงเต็มพิกัด เพราะช่วงจังหวะมันฉุกละหุกไม่ได้เหวี่ยงสุดเหนี่ยว เลือดแดงสะพรั่งก็ทะลักออกมาเปรอะเต็มหน้าผากนักต้มหมูในฉับพลัน ก็แตกซีขอรับ ท่านเจ้าคุณ ลูกเซลลูลอยด์แข็งกระด้างหล่นลงโขกพื้นคอนกรีตแกร่งอีกโป๊กบะเร่อ แล้วกลิ้งขลุกขลักไปตามเรื่องตามราวของมันขณะที่คนถือคิวหักซึ่งติดเบรก กะทันหัน ผงะเซซังถอยหลังในอาการมึนเซ่อสะลึมสะลือเหมือนล่อกัญชาเข้าไปทีละเจ็ดบ่อง รวด ดำ แม้นศรี ทะยานตามติดชนิดไม่ยอมทิ้งโอกาสทองให้ผ่านไปแม้แต่เพียงเศษเสี้ยววินาที คิงท่อนโคนที่ปรปักษ์ยังกำง่อกแง่ก ถูกเขาตะปบกระชากด้วยมือขวา พร้อมทั้งป่ายตีนข้างเดียวกันยันตูมเข้ากลางอก
พลั่ก........ ร่างของเซียนสนุ้กเกอร์ซึ่งมีเลือดแดงเถือกเปรอะเต็มหน้า กระดอนไปกระแทกหลังกับผนังด้านท้ายโต๊ะอีกบึ้กสนั่น และโดยที่คิวหักเปลี่ยนมาอยู่ในมือหนุ่มเปรียวจากสวนมะลิ ซึ่งหากไอ้หลอทรุดลงกองตรงนั้นซะให้รู้แล้วรู้แร่ด มันอาจจะไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวมากนัก แต่นี่พระเดชพระคุณกระเด้งเซซวนกลับออกมาทั้งที่มึนเคไม่รู้ทิศ ก็เลยต้องรับด้ามคิวที่ตวัดส่วนโคนฟาดสวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผัวะ....... ไม้เนื้อแข็งซึ่งถ่วงตะกั่วเพิ่มน้ำหนักไว้ข้างใน กระหน่ำเข้าตรงเหนือกกหูและโหนกแก้มซ้ายจังเบอร์ เลือดกระเซ็นพร่างอยู่ในแสงฟลูออเรสเซ่นท์สเดย์ไลท์กระจ่างโพลน มันเป็นเลือดทั้งจากหน้าผากและโหนกแก้มซ้าย ที่เปิดแผลใหม่แบะอ้า คนฟันหลอถึงกับหน้าสะบัดกางขาวามือหมุนคว้าง หมุนมารับไม้สองที่ตวัดเลยขึ้นสูง และเหนี่ยวกลับเฉียงลงอย่างไม่ยั้งแรง
โผะ......... จวกเข้าเหนือขมับขวาดังชวนเสียวไปถึงแก่นกระโหลก เลือดกระฉูดเช่นเคย เซียนสนุ้กเก้อร์หัวปักกลับมาทางซ้ายก่อนจะทรุดยวบลงไปนอนหงายแผ่กับพื้น ชิดผนังด้านท้ายโต๊ะ หนุ่มแสบจากสวนมะลิเหวี่ยงไม้ทิ้ง ถลันเข้าไปเงื้อเท้าหมายกระทืบให้จนเกือก แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นคู่กรณีนอนหลับตาแน่นิ่งไม่กระดิกกระเดี้ย แม่นแล้ว ถอดจิตไปเรียบร้อยโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งทำสมาธิวิปัสสนาให้ยุ่งยากมาก เรื่อง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำร้ายคนไม่รู้สึกรู้สม
"ริบเดิมพันแม่งง์ดีกว่าวะ" ดำ แม้นศรี แค่นคำรามดุๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงตั้งท่าจะล้วงกระเป๋าเสื้อไอ้หลอ แต่เพียงแค่ขยับ เสียงหนึ่งก็ตวาดเกรี้ยวขึ้นทางเบื้องหลังอย่างปัจจุบันทันด่วน
"อย่านะ" นักเลงสวนมะลิชะงักมือที่เอื้อมไปแตะกระเป๋าเสื้อเซียนสนุ้กเกอร์ ทั้งๆ ที่จำเสียงได้แม่นยำว่าคนห้ามไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งสืบเท้านำหน้าคู่ซี้ชื่อเดียวกันเข้ามาหยุดยืนข้างหลัง เขาค่อยๆ หดมือกลับ เอี้ยวตัวหันไปแหงะหน้ามองเจ้าของเสียงพลางขมวดคิ้วคลางแคลง
"ทำไมล่ะ?" ขาใหญ่บางลำภูแฉลบตาชาเย็นมองไอ้หลอแว่บหนึ่ง ก่อนแจกแจงเสียงขรึม
"ถ้าเอ็งแตะต้องเงินแม้แต่สลึงเดียว งานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องทะเลอะวิวาทตีกันหัวร้างข้างแตกหรือทำร้ายร่างกายฎ
"หมายความว่า......."
"มันจะกลายเป็นชิงทรัพย์ และถ้านับรวมข้ากะปุ๊เจิดเข้าไปด้วยก็ต้องเจอข้อหาปล้น"
"เฮ้ย......."
"พวกเราจะเป็นโจรไปทันที และก็ต้องถูกตำรวจตามล่าอย่างจริงจัง เอ็งจะเอาหยั่งงั้นรึ?"
"ไม่อาวดีกว่า" ดำ แม้นศรี ยิ้มจืดเจื่อนส่ายหน้าช้าๆ ยันตัวยืนขึ้นขณะที่นักบู๊ตรอกสาเกร้องบอกบรรดาไทยมุง
"ไอ้หลอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ช่วยบอกมันด้วยว่าไอ้วิธีการปลอดตัวเป็นหมูเดิน สายไปหลอก แดกต่างถิ่นนะให้เลิกซะ ไม่งั้นจะเจ็บตัวหนักยิ่งกว่านี้" จบคำ เขาหมุนตัวก้าวนำสองขุนรบคู่บารมีแหวกกลุ่มนักสาวคิวออกจากก้นโรงบิลเลียด
"คือว่า.......ฉัน.......ฉัน......."
"เอางี้ ถ้าเฮียอยากจะเปิดโต๊ะทำมาค้าขายตามปกติ ไม่มีใครมาก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ทีหลังก็วางหูซะ" แคชเชียร์ประจำโต๊ะสนุ้กฯ ถอนใจแผ่วลนลานเกี่ยวกระบอกโทรศัพท์กับขอแขวนด้านข้างเครื่อง แล้วหันมาแยกเขี้ยวยิ้มแห้งๆ โชว์ฟันเหลืองอ๋อยแซมทองแถวบนสองซี่ ข้าใหญ่บางลำภูผงกศรีษะเนิบช้า
"ดี พวกผมแค่มาคิดบัญชีกับไอ้หลอเท่านั้นเอง ไม่ได้อาละวาดระรานคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือทำลายข้าวของอะไรบนนี้เลย เพราะฉะนั้น.......อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่" อาเฮียพยักหน้า "แฮ่ะ คับ"
"ไม่แจ้งตำรวจแน่นะ......?"
"ไม่คับ ไม่เหล็กขาก เอ๊ย......เด็ดขาด" จิ้งจอกอันตรายหัวโจกใหญ่ ควักเงินสามบาทสืบเท้าไปวางแปะลงบนโต๊ะที่เคยนั่งเป็นค่าน้ำส้มสามขวดแล้ว เลิกคิ้วถาม "เฮียเห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนทำไม้คิวหัก?"
ฝ่ายนั้นรีบพยักหน้ารับ "เห็นซี ไอ้หลอมันจับฟาดกะขอบชิ่ง"
"แบบนี้ เงินค่าคิวจะเก็บที่ใคร?"
"ก็ไอ้หลอ อีเป็นคนทำหัก"
"แปลว่าพวกผมไม่มีอะไรติดค้าง...?"
"ไม่มี ไม่มีเลย ค่าน้ำขวดนายก็จ่ายนี่นา"
"งั้นผมกลับละ โชคดีเฮีย" เอ่ยจบ ปุ๊ ระเบิดขวด ไหวตัวเดินนำพรรคพวกเลยไปก้าวลงบันไดหายลับ อาเฮียสาวเท้าไปหยิบค่าน้ำส้มหย่อนลงไถ้ข้างเอว เหลือบมองโทรศัพท์แล้วยักไหล่พรืด ถึงตรงนี้ ตะแกไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนแน่นอน
ลงจากโต๊ะบิลเลียดหลังตลาดประตูน้ำ สามหนุ่มอันตรายเดินทะลุออกด้านถนนราชปรารภเลี้ยวขวาตัดผ่านสี่แยก ข้ามสะพานเฉลิมโลกไปอีกนิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้าศูนย์การค้าราชประสงค์ เปล่าดอก จุดหมายไม่ได้อยู่ที่สถานโบว์ลิ่งละไมและมีรสนิยมวิไลกว่าเพื่อน เสนอความคิดเห็นว่าควรจะไปนั่งรับแอร์เย็นๆ สบายผิวท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น